เราไม่ต้องรอให้รู้ 100% ถึงจะลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่เรารู้ ก้าวต่อไปของ ดุสิตธานี และ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่ รมว.พาณิชย์ คนใหม่

เราไม่ต้องรอให้รู้ 100% ถึงจะลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่เรารู้ ก้าวต่อไปของ ดุสิตธานี และ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่ รมว.พาณิชย์ คนใหม่

เป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก สำหรับ ‘ศุภจี สุธรรมพันธุ์’ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. ดุสิตธานี ที่ได้ตอบรับเข้าร่วมทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี บทบาทใหม่ของศุภจีในครั้งนี้ คือว่าที่ ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์’ นับว่าเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะทำหน้าที่ในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้

การเติบโตของ ‘ดุสิตธานี’ กับการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง 

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้ร่วมงานกับดุสิตธานี มายาวนานเกือบ 10 ปี โดยเป็นผู้บริหารหญิงที่นำทีมดุสิตธานีผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากมาอย่างมากมาย เช่น ในช่วงโควิด-19 ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัวหนัก แต่ดุสิตธานียังคงพัฒนาโครงการใหม่เรื่อยมา จนปัจจุบันสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ ดุสิตธานีสามารถขยายธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำรายได้จาก 5,370 ล้านบาทในปี 2559 ทะยานสู่ 11,204 ล้านบาทในปี 2567

ปัจจุบันมีกลุ่มธุรกิจมากถึง 5 กลุ่ม, โรงแรมและวิลล่า 297 แห่ง, แบรนด์โรงแรม 9 แบรนด์ ในจุดหมายปลายทางรวมทั้งหมด 18 ประเทศ แม้จะขยายตัวต่อเนื่องแต่บริษัทไม่เคยเพิ่มทุน ยังคงทุนจดทะเบียน 850 ล้านบาทเท่าเดิม

นอกจากนี้ ศุภจียังเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่ม โครงการ Dusit Central Park ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน สะท้อนอีกหนึ่งความสำเร็จของดุสิตธานีคือ ด้วยมูลค่าโครงการรวมกว่า 46,000 ล้านบาท ที่ได้ร่วมกับเครือเซ็นทรัลพัฒนาทำโครงการมิกซ์ยูส บนที่ดินผืนเดิมของโรงแรมดุสิตธานี หัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งดุสิตธานีได้รับผิดชอบในส่วนของโรงแรมและที่พักอาศัย

โดยเฉพาะในส่วนของโครงการ Dusit Residences ปัจจุบันขายไปได้แล้วกว่า 90% ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท โดยโครงการกำลังเตรียมโอนให้กับลูกค้ารวมมูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท คาดว่าจะพลิกฟื้นให้ดุสิตธานีพ้นจากสถานะขาดทุนได้ในปี 2569

ศุภจี เปิดใจ 2 เหตุผลสำคัญ รับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์

“เราไม่ต้องรอให้รู้ 100% ถึงจะลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่เรารู้” คือถ้อยคำส่งท้ายจาก ศุภจี สุธรรมพันธุ์ หลังประกาศตอบรับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามการทาบทามจากนายกรัฐมนตรี โดยได้เปิดเผยถึง 2 เหตุผลหลักที่ตัดสินใจเข้าสู่บทบาทใหม่ครั้งนี้ แม้จะมีหลายคนตั้งข้อกังขาว่า เธอไม่มีประสบการณ์ทำงานระดับประเทศมาก่อนก็ตาม

เหตุผลแรก ศุภจีระบุว่า ประเทศกำลังเผชิญความท้าทายด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน จำเป็นต้องมีคนเข้ามาช่วยขับเคลื่อนทั้งในมิติการค้าภายในและการเปิดตลาดต่างประเทศ โดยมองว่าประสบการณ์ของตัวเองจากภาคเอกชน ทั้งการทำงานกับ IBM การบริหารธุรกิจดาวเทียมที่ไทยคม รวมถึงการเป็นผู้บริหารเครือโรงแรมดุสิตธานี และการนั่งกรรมการธนาคาร ล้วนช่วยให้ตนเข้าใจทั้งเศรษฐกิจมหภาคและศักยภาพของธุรกิจไทยในเวทีโลก ประสบการณ์เหล่านี้จึงสามารถต่อยอดสู่การสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยได้

เหตุผลที่สอง คือกรอบเวลาการทำงานที่ชัดเจน ด้วยระยะเวลาสั้นเพียง 4 เดือน ก่อนการเลือกตั้งและเปลี่ยนรัฐบาล ศุภจีมองว่านี่คือโอกาสในการเร่งผลักดันวาระเร่งด่วนที่ส่งกระทบโดยตรง พร้อมทั้งวางรากฐานให้ผู้สืบทอดนโยบายสามารถต่อยอดได้ต่อไป ศุภจีได้เปรียบเทียบว่าเป็นงานที่คล้ายกับการวางรากฐานธุรกิจดุสิตธานี แต่ครั้งนี้ต้องทำในเวลาที่กระชับกว่า

นอกจากนี้ ศุภจียังได้ย้ำว่า การทำงานด้านเศรษฐกิจไม่อาจสำเร็จเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับข้าราชการและทีมเศรษฐกิจหลักของรัฐบาล ทั้งกระทรวงการคลัง พลังงาน และต่างประเทศ รวมถึงพันธมิตรทุกภาคส่วน งานทุกงานสำเร็จได้ด้วยคน หากเราร่วมแรงร่วมใจกัน ผลลัพธ์จะไปได้ทั้งไกลและเร็ว

“คนเรามันคงไม่ต้องรอให้รู้ ร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงจะลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่เรารู้ และเราหาธงทุนร่วมให้ได้ว่าธงร่วมของเราคืออะไร ซึ่งตอนอยู่ดุสิต ธงร่วมของเราก็คือทำยังไงให้องค์กรเติบโตอย่างสวยงามและเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง

ตอนนี้ธงใหม่ก็คือ ทำยังไงให้ประเทศของเราแข็งแรงและสามารถที่จะยืนกลับขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นถ้าเรามีธงเดียวกันของคนที่ทำงานร่วมกันกับเรา เราไม่ต้องรอให้รู้ 100% แล้วค่อยทำก็ได้ แต่เราควรทำ 100% ในสิ่งที่เรามี เพราะฉะนั้นก็น่าจะช่วยให้เราสามารถผลักดันสิ่งจำเป็นสำคัญ พร้อมวางลำดับความสำคัญว่าสี่เดือนข้างหน้านี้ เราจะหยิบจับอะไรมาทำบ้าง” ศุภจีกล่าว

สำหรับ ทิศทางนโยบาย ศุภจียังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด โดยระบุว่า ต้องรอรับโปรดเกล้าฯ และหารือร่วมกับคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีก่อน จึงจะสามารถกำหนดลำดับความสำคัญและแผนปฏิบัติได้อย่างชัดเจน

ก้าวใหม่ของ ‘ดุสิตธานี’ กับ ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ 

การเปลี่ยนผ่านผู้บริหารคนสำคัญของดุสิตธานีในครั้งนี้ ทางคณะกรรมการดุสิตธานีได้มีมติแต่งตั้ง ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ รักษาการประธานกรรมการ ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม (กรุ๊ปซีอีโอ) เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา หลังจากศุภจี  ศุภจีได้ตัดสินใจขอเกษียณก่อนครบกำหนดจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยมั่นใจไม่กระทบการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานี ย้ำว่าที่ผ่านมา ดุสิตธานีผ่านการวางรากฐานอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงภายใต้บริบทใหม่

ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี เปิดเผยว่า ในฐานะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ ดุสิตธานีรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ศุภจีได้รับโอกาสอันสำคัญนี้ ซึ่งจะเป็นการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติในช่วงรอยต่อที่สำคัญของบ้านเมือง

“บริษัทขอขอบคุณ คุณศุภจีสำหรับความทุ่มเท ความเป็นผู้นำ และวิสัยทัศน์ที่ได้หล่อหลอมองค์กรตลอดที่ผ่านมา จนภารกิจในการวางรากฐานให้กลุ่มดุสิตธานีพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสำเร็จลุล่วงด้วยดี ในขณะที่ภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อน ซึ่งนับเป็นเรื่องเร่งด่วน ภายใต้เงื่อนเวลาที่จำกัด

กลุ่มดุสิตธานีจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณศุภจีจะได้ใช้ความรู้ความสามารถทำงานรับใช้ชาติและประชาชน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และหากภารกิจของชาติเสร็จสิ้นเป็นเรียบร้อย กลุ่มดุสิตธานีก็พร้อมจะต้อนรับคุณศุภจีกลับมาเสมอ โอกาสนี้ ผมขอร่วมแสดงความยินดีและอวยพรให้คุณศุภจีประสบความสำเร็จอย่างสูงในภารกิจอันทรงเกียรตินี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน” ชนินทธ์กล่าว

สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานีหลังจากนี้ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากแผนงานเดิมที่ได้ถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงโครงการ Dusit Central Park ที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ ด้วยทีมบุคลากรที่มีคุณภาพของกลุ่มดุสิตธานีที่ยังคงทุ่มเททำงานอย่างเต็มกำลังเหมือนที่ผ่านมา และองค์กรยังพร้อมต้อนรับศุภจี กลับมาเสมอเมื่อปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น

ส่วนอีกประเด็นสำคัญที่เป็นที่จับตาของสังคม คือปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวของผู้บริหารกลุ่มดุสิตธานีเอง ทางชนินทธ์ได้ให้ความมั่นใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้รับการคลี่คลายและจบลงด้วยดี ไม่ต้องเป็นกังวลในประเด็นนี้

PatWriterPat
พิธีกรและนักข่าว สายอสังหาฯ สายการบิน รถยนต์ และไลฟ์สไตล์ อยู่ในวงการนี้มากว่า 10 ปี
ปัจจุบันเป็นพิธีกรรายการ TOMORROW สัมภาษณ์ผู้บริหารจากหลากหลายธุรกิจ ติดต่อได้ที่ [email protected]


Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง