ในโลกธุรกิจ ทำไม “คนทุนเยอะ” ถึงได้เปรียบ “คนทุนน้อย”

ในโลกธุรกิจ ทำไม “คนทุนเยอะ” ถึงได้เปรียบ “คนทุนน้อย”

ธุรกิจ

หลายคนน่าจะเคยได้ยินว่า “คนที่มีทุนเยอะ” ถ้ามาทำธุรกิจจะได้เปรียบ “คนที่มีทุนน้อย” เหมือนกับสำนวนที่ว่า “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ผ่านหูกันมาบ้าง

คำถามคือแล้ว “คนที่มีทุนเยอะ” จะได้เปรียบ “คนที่มีทุนน้อย” เสมอไปจริงไหม ?

แม้เรื่องนี้จะมองได้หลายมุม เพราะคนทุนเยอะกว่าไม่จำเป็นจะต้องได้เปรียบคนทุนน้อยไปทุกเรื่องก็ได้

แต่รู้ไหมว่าถ้าวัดกันในเรื่องของ “การทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าถูกลง” ถ้าเอาตามทฤษฎีแล้ว คนที่มีทุนเยอะกว่าจะได้เปรียบคนที่ทุนน้อยกว่าจริง ๆ

รายละเอียดของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ? TODAYBizview จะอธิบายให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ

ตามตำราเศรษฐศาสตร์มีทฤษฎีชื่อว่า “Economies of Scale” หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “การประหยัดต่อขนาด” ที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้

โดยคอนเซปต์ของ Economies of Scale ก็คือยิ่งเราผลิต หรือสั่งซื้อสินค้าครั้งละเยอะๆ จะยิ่งทำให้สินค้ามีต้นทุนต่อหน่วย “ถูกลง”

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราผลิตน้ำสมุนไพรขายครั้งละ 10,000 ขวด เราจะมีต้นทุนต่อขวดถูกกว่าการผลิตน้ำสมุนไพรขายครั้งละ 1,000 ขวดเสมอ ตามหลัก Economies of Scale

สาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะปกติแล้ว ต้นทุนของสินค้าจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

1. ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือ ต้นทุนที่ไม่ว่าเราจะผลิตสินค้ามากหรือน้อย เราก็ต้องจ่ายเงินเท่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น ค่าเช่าสถานที่ หรือ ค่าเสื่อมอุปกรณ์

2. ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คือ ต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามจำนวนสินค้าที่เราผลิต เช่น ค่าวัตถุดิบ หรือ ค่าบรรจุภัณฑ์

โดยทฤษฎีนี้จะบอกว่า ยิ่งเราผลิตสินค้าเยอะมากขึ้น ต้นทุนคงที่ของเราก็จะถูกกระจายออกไป
ตามจำนวนสินค้าที่เราผลิตมากขึ้น ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยของสินค้าลดลงได้

อธิบายให้เห็นภาพ สมมติว่าเราอยากขายน้ำสมุนไพร แล้วกำหนดว่าจะผลิต 1,000 ขวดต่อวัน

ถ้าเรามีต้นทุนคงที่คือ ค่าเสื่อมอุปกรณ์ หรือ ค่าเช่าสถานที่ รวมกันวันละ 10,000 บาท และมีต้นทุนผันแปร คือ ค่าฉลาก หรือ ค่าวัตถุดิบ ต่อ 1,000 ขวดอยู่ที่ 15,000 บาท

หมายความว่าถ้าเราผลิต1,000 ขวดต่อวัน น้ำสมุนไพรของเราจะมีต้นทุนรวม อยู่ที่ 25,000 บาทต่อวัน และมีต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ “ขวดละ 25 บาท”

(แบ่งออกเป็นต้นทุนคงที่ 10 บาทต่อขวด และต้นทุนผันแปร 15 บาทต่อขวด)

ทีนี้ลองนึกภาพว่า ถ้าเราสั่งผลิตเครื่องดื่มสมุนไพรเพิ่มขึ้นจากเดิม 10 เท่าเป็น 10,000 ขวดต่อวัน (ต้องหมายเหตุด้วยว่าเครื่องผลิตสามารถผลิตจำนวนนี้ไหว)

ในเคสนี้ต้นทุนผันแปร เช่น ค่าฉลาก หรือ ค่าวัตถุดิบ ของเราจะเพิ่มขึ้นทันที 10 เท่า ตามจำนวนเครื่องดื่มที่เราผลิตกลายเป็น 150,000 บาท ต่อ 10,000 ขวด

แต่กลับกันต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเสื่อมอุปกรณ์ หรือ ค่าเช่าสถานที่ ที่เราต้องจ่ายจะยังคงเท่าเดิม คือ 10,000 บาทต่อวัน

หมายความว่าถ้าเราผลิต 10,000 ขวดต่อวัน น้ำสมุนไพรของเราจะมีต้นทุนรวมอยู่ที่ 160,000 บาทต่อวัน และมีต้นทุนต่อหน่วยลดลงเหลือ “16 บาทต่อขวด”

(แบ่งออกเป็นต้นทุนคงที่ 1 บาทต่อขวด และ ต้นทุนผันแปร 15 บาทต่อขวด)

จะเห็นได้ว่าเมื่อเราผลิตสินค้าเยอะขึ้น แม้ว่าต้นทุนผันแปรจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนการผลิต แต่ต้นทุนคงที่ของเราจะถูกกระจาย ไปตามจำนวนสินค้าที่เราผลิต ทำให้ต้นทุนรวมของเราถูกลงไปด้วยนั่นเอง

ถึงตรงนี้หลายคนน่าจะเข้าใจหลักการของ Economy of Scale แล้วว่า คนที่มีทุนเยอะจะได้เปรียบคนที่มีทุนน้อยในเรื่องการลดต้นทุนต่อหน่วยได้อย่างไรบ้าง ?

นั่นก็เพราะว่าการจะผลิตครั้งละเยอะ ๆ หรือซื้อของจำนวนครั้งละมาก ๆ ได้นั้นจำเป็นจะต้องใช้ “เงินทุน” เป็นปัจจัยหลัก

คนที่มีทุนในการผลิตหรือสั่งซื้อสินค้าครั้งละมากๆ เลยจะได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนต่อหน่วยที่ถูกกว่า ตามทฤษฎีเสมอ

อย่างในเคสของน้ำสมุนไพรข้างต้น ผู้เล่นรายใหญ่อาจที่มีเงินทุนเยอะกว่าอาจจะสามารถสั่งผลิตชาสมุนไพรได้ครั้งละ 10,000 ขวด

ในขณะที่ผู้เล่นรายย่อยอาจจะสามารถสั่งผลิตชาสมุนไพรได้เต็มที่แค่ครั้งละ 1,000 ขวด ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่จะได้เปรียบมาก ๆ ในเรื่องของ “ต้นทุนต่อหน่วย” ที่ต่ำกว่า

– ผลิตชาสมุนไพร 10,000 ขวด มีต้นทุนต่อขวดอยู่ที่ 16 บาท
– ผลิตชาสมุนไพร 1,000 ขวด มีต้นทุนต่อขวดอยู่ที่ 25 บาท

พอเป็นแบบนี้ผู้เล่นรายใหญ่เลยสามารถใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำกว่ามาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้หลายอย่าง เช่น การตั้งราคาขายสินค้าในราคาเท่ากันกับรายย่อยแต่ได้อัตรากำไรเยอะกว่า

หรือจะเป็นการตั้งราคาขายให้ต่ำกว่าสินค้าของรายย่อยเพื่อแย่งลูกค้าในขณะที่รายย่อยไม่สามารถลดราคาลงไปสู้ได้นั่นเอง

อย่างไรก็ดี ต้องหมายเหตุเอาไว้ด้วยว่าทฤษฎีตรงนี้จะใช้ได้ดีกับสินค้าที่ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันเยอะ เช่น น้ำเปล่า, อาหารสด, หรือสินค้าทั่วไปในชีวิตประจำวันที่คนใช้ราคาในการตัดสินใจซื้อ

สุดท้ายนี้ ต้องบอกก่อนว่าการผลิตครั้งละเยอะ ๆ เพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำอาจไม่ได้เป็นท่าที่เวิร์กกับธุรกิจบางประเภทอย่างเช่น “ธุรกิจเสื้อผ้า” ที่เทรนด์เปลี่ยนเร็วมาก ๆ

เพราะถ้าเราสั่งผลิตเสื้อผ้าแบบเดียวกันครั้งละเยอะ ๆ เพราะอยากได้ต้นทุนถูก แต่ปรากฏว่าเสื้อผ้าของเราไม่ได้เป็นที่นิยมแล้ว

ก็อาจเสี่ยงจะทำให้เกิด “ภาวะทุนจม” หรือผลิตมาเยอะแต่ขายไม่ออกได้ง่ายๆ

แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAY BizviewWriterTODAY Bizview
TODAY Bizview by workpointTODAY
ข่าว สาระ ความรู้ ด้านธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง