จะเห็นว่าตอนนี้ ‘ผู้บริหารรุ่นใหม่’ จำนวนมากออกมา ‘สร้างตัวตน’ บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น กลายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการสานต่อธุรกิจจากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ พร้อมทั้งขยายฐานผู้บริโภคให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจ คือเรื่องราวของ “สุรกิจ เมธานุกิจ” หรือคุณเปา ผู้บริหารโรงแรมอลิซาเบธรุ่นที่ 2 ที่เลือกทำคอนเทนต์แบบเรียบง่าย โปรโมทโรงแรมธุรกิจครอบครัวด้วยความจริงใจและความคุ้มค่าเป็นหลัก ทั้งยังเป็นผู้ที่เข้ามารีโนเวตโรงแรม 3 ดาวที่ผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของโรงแรมที่พ่อแม่สร้างไว้ พร้อมปรับให้เข้ากับผู้เข้าพักยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
TODAY Bizview ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “เปา – สุรกิจ เมธานุกิจ” และนี่คือสรุปแนวคิดการสานต่อธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นที่เขาอยากส่งต่อให้ฟัง

[ โควิดโรงแรมกระทบหนัก หลังโควิดผ่านไปราดหน้าในโรงแรมดังช่วยฟื้นธุรกิจ ]
‘เปา’ เล่าให้ฟังถึงตอนที่ตัวเองต้องแก้วิกฤตธุรกิจว่า ในช่วงโควิด-19 ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักสุดจนต้องปิดโรงแรมเกือบ 3 เดือน ฟื้นตัวจริงๆ ก็หลังโควิดผ่านไป 3 ปีแล้ว
ตอนวิกฤตนั้นเขาต้องประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด และพอมาดูค่าใช้จ่ายก็พบว่าส่วนที่หนักสุดคือ “เงินเดือนพนักงาน” โดยวิธีการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญคือการปิดโรงแรมเพื่อปิดเครื่องปรับอากาศ ทำให้ค่าไฟลดลงจากหลักแสนลงมาเหลือหลักหมื่น
นอกจากนี้ ยังใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายด้วยการให้พนักงานทำงาน 15 วันและพัก 15 วัน โดยจ่ายเงินเฉพาะวันที่ทำงานแบบที่โรงแรมอื่นใช้กัน ทำให้ไม่ได้เลย์ออฟพนักงานออกเลย
หลังจากนั้นธุรกิจก็ค่อยๆ ฟื้นด้วยกระแสของ “ราดหน้า” ที่ห้องอาหารของโรงแรม มีคนเข้ามารีวิวลงโซเชียลมีเดีย ทำให้ในตอนนั้นมีลูกค้าเข้ามารอทานราดหน้าที่ห้องอาหารโรงแรมเยอะจนตกใจ ส่วนหนึ่งเพราะราดหน้ามาในรูปแบบชามใหญ่ ราคาเข้าถึงได้
และในตอนนั้นพ่อครัวของห้องอาหารมีเพียง 5-6 คน แต่ลูกค้ามาถึง 200 คนต่อวัน ซึ่งทำให้รับมือไม่ไหวในตอนแรก
“ช่วงแรกต้องยอมรับเลยว่า รับมือไม่ไหวจริงๆ ครับ เพราะเราไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ทีมงานแต่ละคนก็ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก อีกทั้งโรงแรมของเราปกติก็ไม่ใช่ร้านอาหารที่มีลูกค้าเข้ามาทานเยอะๆ อยู่แล้ว ปกติแขกจะมาพักเป็นหลัก ส่วนห้องอาหารก็มีไว้รองรับลูกค้าแบบพื้นฐานมากกว่า
แต่วันหนึ่งห้องอาหารกลับขายดีแบบพุ่งระเบิด มีคนต่อคิวยาวแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่ทีมงานครอบครัวเราก็มีอยู่นิดเดียว ทำให้ตอนนั้นแทบจะตั้งตัวไม่ทันเลยครับ”
และหลังจากช่วงกระแสราดหน้าบูม ‘เปา’ ก็ใช้เวลาราวๆ 1 สัปดาห์ในการจัดคิว จัดระบบเพื่อรองรับลูกค้า เพิ่มพ่อครัว เพิ่มพนักงานในส่วนต่างๆ จนกระทั่งปัจจุบันห้องอาหารของโรงแรมอลิซาเบธคิดเป็นการเติบกว่า 1,000% เลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่ก่อตั้งโรงแรมมากว่า 30 ปีก็ยังไม่เคยมียอดขายมากขนาดนี้ ปัจจุบันก็ยังขายดีอยู่มีลูกค้ามาทานเกือบทุกช่วงเวลาต่อวัน พร้อมทั้งยังมีเปิดรับผ่านเดลิเวอรี่ด้วยเช่นกัน
[ ต่อยอดจากกระแสราดหน้า โปรโมทโรงแรมด้วยตัวเองง่ายๆ ]
และด้วยกระแสของราดหน้า ‘เปา’ เล่าว่าตอนนั้นได้ต่อยอดเรื่องห้องพักด้วย พอลูกค้ามาทานราดหน้าก็บอกต่อกันในเรื่องห้องพัก ส่วนตัวเองก็ทำโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook มา 2 ปีแล้ว แต่ยังสร้างตัวตนไม่มากพอ ตอนแรกก็ทำ Youtube แต่พอดูเรื่องโปรดักส์ชั่นมันก็อาจจะต้องมากไป แต่เขาก็ค้นพบว่า TikTok เป็นอีกช่องทางที่สะดวก ใช้มือถือเครื่องเดียวตัดต่อง่ายๆ ก็สามารถสร้างตัวตนได้
หลังจากนั้นเขาได้เริ่มทำคอนเทนต์โปรโมททั้งโรงแรมและห้องอาหารลง TikTok คอนเทนต์ที่เลือกทำก็มองแต่คอนเทนต์ Positive พร้อมกับเน้นอธิบายหรือตอบคำถามข้อสงสัยลูกค้าด้วยความจริงใจ ทำให้ลูกค้าที่ติดตามคอนเทนต์จาก TikTok เข้ามาใช้บริการ บางส่วนเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาทานราดหน้าโดยเฉพาะ และบางครั้งก็ตัดสินใจพักที่โรงแรมด้วย
ซึ่งตอนนี้ ‘เปา’ ก็ยังทำคอนเทนต์ด้วยตัวเอง มีทีมเป็นแฟนของเขา 1 คน พยายามตัดและถ่ายลงให้ได้วันละ 1 คอนเทนต์ และยังไม่อยากจ้างใครเพราะรู้สึกตัวเองทำเองถูกใจกว่า
[ แนวคิดธุรกิจที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทำธุรกิจให้คุ้มค่าคุ้มราคา ]
และแค่การสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดียอย่างเดียวไม่พอ เพราะถ้าตัวธุรกิจไม่ดีจริง ลูกค้าก็จะมาซ้ำแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไม่มาอีก
‘เปา’ มองว่า แนวคิดทางธุรกิจของครอบครัวเป็นแบบเรียบง่ายและเบสิก โดยไม่มีความซับซ้อนมากนัก คือการมุ่งเน้นการขายสินค้าที่ ‘คุ้มค่า คุ้มราคา’ เช่น การทำให้ลูกค้าอิ่ม เป้าหมายหลักคือการให้ลูกค้าได้ทานอาหารที่อิ่มและคุ้มค่า เน้นคุณภาพและปริมาณ เช่น การให้กุ้งตัวใหญ่ๆ หรือปลาตัวใหญ่ๆ ในอาหาร ในขณะที่ตั้งราคาให้ “พอประมาณ”
ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาทานราดหน้ามักจะแสดงความเห็นว่า ราดหน้าจานเล็ก ของทางร้านนั้นมีปริมาณที่เยอะมาก และพวกเขาบ่นว่ารู้สึก อิ่มมากเลย อย่างเมนูอื่นๆ เช่น ผัดไทย ก็เน้นให้มีปริมาณ (Portion) ที่ใหญ่ด้วยเช่นกัน
และปรัชญา “คุ้มค่า คุ้มราคา” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องอาหาร แต่ยังถูกใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการดึงดูดลูกค้าเข้าพักโรงแรมด้วย อย่างห้องพักที่ให้มากกว่าราคา แม้ว่าราคาห้องพักจะเริ่มต้นประมาณ 1,200 บาทต่อคืน แต่ทางโรงแรมได้มอบความคุ้มค่าอย่างเต็มที่ มีอาหารเช้า ยกระดับคุณภาพของสิ่งของต่างๆ เช่น การใช้เตียงและหมอนระดับเดียวกับโรงแรม 5 ดาว การมีเครื่องฟอกอากาศ, Smart TV จอ 43 นิ้ว, และกาแฟ Starbucks ให้บริการฟรี
ซึ่งส่วนของโรงแรมก็เริ่มมาปรับในช่วงที่คุณเปาเข้ามาบริหารเต็มๆ แล้ว โดยที่คุณเปาบอกว่าอยากขยายกลุ่มลูกค้าด้วย อย่างเด็กรุ่นใหม่ก็ชอบแสง ชอบไวไฟเร็ว เขาก็เลือกที่จะรีโนเวทห้องเป็นโซนๆ ไป ในห้องที่รีโนเวทก็ทำแสงใหม่ มีกระจกให้เด็กๆ ได้ถ่ายรูป เปลี่ยนไวไฟทั้งโรงแรมให้เร็วขึ้น
และที่สำคัญการรีโนเวทเหล่านั้น “ยังคงเอกลักษณ์” โรงแรมที่มีตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ไว้ คุณเปาแค่มาทำให้มันดูใหม่ขึ้น แต่เป็นไปในสไตล์ยุโรปเช่นเดิม ทำให้ลูกค้าที่มาเข้าพักรู้สึกคุ่มค่าคุ้มราคามากขึ้นนั่นเอง
[ ความไว้วางใจจากครอบครัว ช่วยขยับโปรเจคให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ได้ ]
และหนึ่งคำถามที่ผู้บริหารที่สืบทอดธุรกิจครอบครัวต้องเจอส่วนใหญ่คือ ทำยังไงให้พ่อแม่ไว้ใจ? พ่อแม่เปิดกว้างสำหรับธุรกิจฉบับคนรุ่นใหม่แค่ไหน?
‘เปา’ ได้แชร์เรื่องนี้ไว้ว่า เขาพยายามพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่ไว้ใจ และเขาก็โชคดีที่พ่อแม่เปิดกว้างในทุกโปรเจกต์ที่ทำให้จนกลายมาเป็นโรงแรมอลิซบาเบธในวันนี้ได้ เพราะมันเคยมีครั้งหนึ่งที่เขาลองทำเดลิเวอรี่ห้องอาหาร ช่วงราดหน้ายังไม่ดัง ตอนนั้นล้มเหลว แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร และหลังจากนั้นเขาก็ลงมือในโปรเจกต์ใหม่ๆ รีโนเวทห้องอาหาร เพิ่มพนักงาน รีโนเวทโรงแรมมาตลอด ได้รับความไว้วางใจจากครอบครัว
“คือเราก็พยายามพิสูจน์ตัวเองเหมือนกันครับ ทุกโปรเจ็กต์ที่เริ่มทำ เราจะเริ่มจากงานเล็กๆ ก่อน แล้วก็ลองพรีเซนต์ให้ที่บ้านฟัง แต่ก็ไม่ได้เป็นการขึ้นสไลด์หรือทำ PowerPoint อะไรใหญ่โต เพราะธุรกิจเราเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ได้เป็นองค์กรใหญ่ที่ต้องทำประชุมทางการขนาดนั้น ก็จะเป็นการนั่งคุยกันมากกว่า คุยกันตรงๆ ว่าอยากทำอะไร ทำไปทำไม ส่วนใหญ่ที่บ้านก็เปิดใจและให้ผมลองทำครับ พอโปรเจ็กต์เล็กๆ เริ่มสำเร็จ ก็ค่อยๆ ขยับไปสู่โปรเจ็กต์ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
สำหรับธุรกิจโรงแรมอลิซาเบธตอนนี้ ‘เปา’ ตั้งเป้าว่าอยากให้เติบโตแบบเล็กๆ ปีละ 5% ก็โอเคแล้ว ห้องพักมีราวๆ 272 ห้อง โรงแรมก็สามารถรักษาอัตราการเข้าพักเฉลี่ยไว้ที่ประมาณ 50% ตลอดทั้งปี ซึ่งหมายความว่ามีห้องพักมากกว่า 100 ห้องถูกใช้บริการทุกวัน ถือว่า “พออยู่ได้ดีเลยทีเดียว” และเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าคุณเปาอยากนำเมนูราดหน้าไปเปิด Pop up Store ตามพื้นที่ต่างๆ เล็กๆ เท่านั้นเอง
และนี่คือสไตล์การทำธุรกิจในแบบของ ‘เปา’ ทายาทรุ่นที่ 2 ของโรงแรมอลิซาเบธ การรักษาแนวคิด “คุ้มค่าคุ้มราคา” ที่ครอบครัววางรากฐานไว้ พร้อมเติบโตไปกับธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มั่นคงในแบบของตัวเอง











