Elon Musk ยังเรียกกระแสฮือฮาได้ทุกวัน เพราะหลังจากซื้อหุ้นทวิตเตอร์จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดไปแล้ว
ล่าสุดยังยื่นข้อเสนอใหม่ ขอ take over ทวิตเตอร์ไปเลยในราคาหุ้นละ 54.20 ดอลลาร์ และยังมีแผนจะนำทวิตเตอร์ออกจากตลาดหลักทรัพย์อีกต่างหาก
ดีลนี้ จะสำเร็จอย่างที่ Musk คาดหวังไว้หรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป แต่ระหว่างรอ TODAY Bizview ชวนทบทวนความเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในโลกออนไลน์ของ Elon Musk รวมถึงคดีดังในอดีตที่เขาโพสต์ทวิตเตอร์ปั่นหุ้น จน ก.ล.ต. สหรัฐฯ กุมขมับ สั่งฟ้องร้องเขา
[ วีรกรรม Elon Musk โพสต์ปั่นหุ้น Tesla ]
Elon Musk เป็นอินฟลูเอนเซอร์ระดับต้นๆ ของโลกบนทวิตเตอร์ ทุกวันนี้ เขามีผู้ติดตามกว่า 80 ล้านบัญชี และไม่ว่าเขาจะโพสต์อะไร หัวข้อนั้นจะกลายเป็นเทรนด์โซเชียลไปทั่วโลกทันที
เขามีอิทธิพลถึงขั้นที่ว่า โพสต์ถึงแบรนด์อะไร เหรียญอะไร นักลงทุนก็แห่กันไปซื้อตาม จนถึงขั้นได้ฉายาว่าเป็น Market Whisperer เลยทีเดียว
แต่มีการโพสต์ครั้งหนึ่ง ที่เข้าข่ายปั่นหุ้น จน SEC หรือ ก.ล.ต. สหรัฐฯ อยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาฟ้องร้อง
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 2018 Elon Musk โพสต์ทวิตเตอร์ว่า
“Am considering taking Tesla private at $420. Funding secured.”
ซึ่งตีความได้ว่า Musk กำลังคิดจะนำ Tesla ออกจากตลาดหลักทรัพย์ด้วยการซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะอยู่ที่ราคา 420 ดอลลาร์ต่อหุ้น และยังบอกด้วยว่ามีแหล่งเงินทุนพร้อมแล้ว

โพสต์ดังกล่าว ทำให้ราคาหุ้น Tesla พุ่งขึ้นทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ต่อมา เขาก็เปลี่ยนใจ ให้ Tesla อยู่ในตลาดหุ้นต่อไป
SEC จึงอยู่เฉยไม่ได้ มองว่านี่เป็นการปั่นตลาดหุ้น เพราะการให้ข้อมูลใดๆ ต้องเป็นข้อมูลที่ตั้งอยู่บนฐานความจริง มีหลักฐานยืนยันจริง หรือมีหลักฐานมาสนับสนุนว่าทำได้
การโพสต์ของ Musk ในครั้งนี้ยังไม่เป็นไปตามหลักการเปิดเผยข้อมูลสำคัญ SEC จึงยื่นฟ้อง Elon Musk
ต่อมา Elon Musk ขอยอมความคดีทวีตปั่นหุ้น พร้อมจะจ่ายค่าปรับ 20 ล้านดอลลาร์ และลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารของ Tesla บวกกับค่าปรับจาก Tesla อีก 20 ล้านดอลลาร์ และยังถูกควบคุมพฤติกรรมการใช้ทวิตเตอร์ด้วย
แต่คนอย่าง Musk มีหรือ จะทำตัวว่าง่าย ที่ผ่านมา Musk ยังคงได้รับการแจ้งเตือนจาก SEC อยู่เรื่อยๆ เรื่องพฤติกรรมการใช้ทวิตเตอร์ที่เข้าข่ายให้ข้อมูลผิด
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เขาโพสต์ว่า ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าราคาหุ้น Tesla นั้นสูงเกินจริง หลังจากเขาโพสต์ราคาหุ้น Tesla ก็ร่วงตามคาด (พ.ค. 2020)
หรือตอนที่เขาโพสต์ให้ข้อมูลเรื่อง Tesla ตั้งเป้าสร้างหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ 1,000 แผงต่อสัปดาห์ภายในสิ้นปี (ก.ค. 2019)
ซึ่งจริงๆ แล้ว Musk ควรได้รับอนุญาตจากผู้ควบคุมก่อนจะออกมาโพสต์ให้ข้อมูลใดๆ แต่ Musk ก็ยังคงทำตามใจตัวเองต่อไป
คดีทวีตปั่นหุ้นกลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ทนายความของ Musk สู้ในชั้นศาล โจมตี SEC ว่าพยายามสอบสวนบริษัทอย่างไม่รู้จบสิ้น และยังวิจารณ์ SEC ด้วยว่า ล้มเหลวในการคืนเงิน 40 ล้านดอลลาร์ที่ปรับไปให้แก่ผู้ถือหุ้น
เรียกได้ว่าเป็นศึกที่ไม่จบสิ้น และจะยังเป็นไม้เบื่อไม้เมากันต่อไปสำหรับมหาเศรษฐี Elon Musk และ SEC
[ เดาใจ Elon Musk ]
ยังไม่มีใครรู้ชัดเจนว่า Musk มีเป้าหมายอะไรถึงซื้อหุ้นทวิตเตอร์ ไม่มีการประกาศจุดประสงค์ บอกวิสัยทัศน์ แม้แต่นักวิเคราะห์ก็ยังงงว่า ซื้อไปทำไม หรือแม้กระทั่งการเสนอซื้อทวิตเติร์ล่าสุด ก็ยังตอบยากว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรกับโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานกว่า 436 ล้านบัญชี (ข้อมูลเดือน ม.ค. 2022)
แต่ที่ผ่านมา นอกจากเปิดศึกกับ SEC แล้ว Musk ยังมีความกังขาในทวิตเตอร์เรื่องการสนับสนุน Free Speech ก่อนที่เขาจะซื้อหุ้นไม่นาน เขาโพสต์ว่า
“เนื่องจากทวิตเตอร์ ทำหน้าที่เป็นจัตุรัสกลางเมือง การไม่ปฏิบัติตามหลักเสรีในการพูด ถือเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตย ต้องทำอย่างไรต่อเรื่องนี้”
จากทวีตนี้ทำให้คนลือกันไปต่างๆ นานา ว่าเขาจะสร้างโซเชียลมีเดียขึ้นมาเองแบบที่ โดนัลด์ ทรัมป์สร้าง Truth Social หรือไม่
ย้อนกลับไปในปี 2018 ช่วงที่เขาโดนฟ้องจาก SEC เขายังมีความคิดฟุ้งๆ ที่จะเปิดเว็บไซต์ใหม่ชื่อว่า Pravda เป็นคำภาษารัสเซียแปลว่า ความจริง ที่ Musk จะให้คนทั่วไปมาให้คะแนนนักข่าว บรรณาธิการ และสื่อต่างๆ บนเว็บไซต์ได้ แต่แล้ว Musk ก็ไม่ได้ทำออกมาจริงๆ (ซึ่งน่าจะเป็นที่โล่งใจของใครหลายคน)
ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว ทวิตเตอร์ถือเป็นแหล่งข่าวโซเชียลที่มีประโยชน์ มีฟังก์ชั่นให้ตรวจสอบข่าวปลอม มี Blue Tick หรือเครื่องหมายสีฟ้า ที่ยืนยันว่าบุคคลในโปรไฟล์เป็นคนดังที่มีตัวตนอยู่จริง และยังเปิดให้มีการถกเถียงกันผ่านการโพสต์ การโควท การตอบกลับข้อความในกล่อง Reply
ล่าสุด Musk ตั้งทวีตเป็นโพลถามออกแนวทีเล่นทีจริงว่าต้องการให้ทวิตเตอร์มีปุ่ม ‘แก้ไข’ หรือ Edit หรือไม่ ซึ่งฟังก์ชั่น Edit ซึ่งเป็นสิ่งที่ทวิตเตอร์ไม่มี และชาวทวิตก็ต้องการสิ่งนี้มานานมากๆ แล้วด้วย
จึงต้องติดตามกันต่อไปว่า ดีลของ Musk จะสำเร็จหรือไม่ และยังต้องติดตามต่อด้วยว่า หน่วยงานกำกับดูแลอย่าง SEC จะจับตามองการกระทำของเขาหรือไม่

ที่มา : BBC, Quartz, Blognone, Gizmodo, Workpoint TODAY, TechCrunch, Bloomberg










