ม็อบต้านผู้อพยพอังกฤษ มวลชนรวมตัวหลักแสน สะท้อนกระแสขวาจัดเติบโต?

ม็อบต้านผู้อพยพอังกฤษ มวลชนรวมตัวหลักแสน สะท้อนกระแสขวาจัดเติบโต?

การประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอนเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ถูกระบุว่าเป็นการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษ จากการประเมินของตำรวจคาดว่ามีผู้เข้าร่วมประมาณ 110,000-150,000 คน ขณะที่ในฝั่งของผู้ชุมนุมและสื่อบางสำนักระบุว่า มีผู้มาเข้าร่วมเป็นหลักล้านคน 

ความน่าสนใจของการชุมนุมครั้งนี้ ไม่ใช่แค่จำนวนผู้ที่เข้าร่วม แต่คือมิติทับซ้อนที่แฝงอยู่ภายใต้การเดินขบวนครั้งใหญ่ ที่ใช้ชื่อว่า ‘Unite the Kingdom’ ซึ่งผู้จัดอ้างว่าเพื่อคัดค้านการอพยพผิดกฎหมายและปกป้องเสรีภาพการพูด แต่ในความเป็นจริง บนท้องถนนกลับเป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายขวาที่ต่อต้านผู้อพยพ กับกลุ่มผู้ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติที่รวมตัวอีกฟากหนึ่ง

แกนนำหลักของ Unite the Kingdom คือ สตีเฟน แยกซ์ลีย์-เลนนอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทอมมี โรบินสัน นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาที่เพิ่งพ้นโทษออกมาไม่นาน เขาประกาศต่อหน้าฝูงชนว่านี่คือ ‘การปฏิวัติทางวัฒนธรรม’ ของอังกฤษ ท่ามกลางธงชาติยูเนียนแจ็กและเสียงตะโกน “Stop the boats” เพื่อสื่อเป็นนัยถึงความต้องการให้รัฐบาล ‘หยุดรับผู้อพยพ’ ดังก้องไปทั่วเมือง

 

เหตุปะทะกลางกรุง  ตำรวจเจ็บ 26 นาย ผู้ชุมนุมถูกจับกุมกว่า 20 คน

แม้ผู้จัดจะยืนยันว่าการชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ แต่บรรยากาศกลับตึงเครียดตั้งแต่ช่วงบ่าย เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายขวาที่ต่อต้านการอพยพ พยายามฝ่าแนวกั้นเพื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติที่รวมตัวอยู่อีกฝั่งถนน เจ้าหน้าที่ต้องใช้กำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ ทั้งม้าควบคุมฝูงชน ตำรวจปราบจลาจล และแนวกั้นโลหะ แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการปะทะได้

ผลคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ 26 นาย ได้รับบาดเจ็บ โดย 4 นายอาการสาหัสจากการถูกชกต่อย ขว้างขวดแก้ว และการปาพลุแฟลร์เข้าใส่ ขณะที่ฝั่งผู้ชุมนุมถูกจับกุมไปอย่างน้อย 24-25 คน ในข้อหาตั้งแต่ทำร้ายร่างกาย ความผิดตามกฎหมายความสงบเรียบร้อย ไปจนถึงพกอาวุธอันตราย โดยตำรวจระบุว่าการสืบสวนยังดำเนินต่อ และมีแนวโน้มจะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

 

ชนวนเดือด จากโรงแรมผู้ลี้ภัยถึงวิกฤตเรือข้ามช่องแคบ

แรงขับเคลื่อนของม็อบครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่สั่งสมมาตลอดฤดูร้อน เริ่มจากความไม่พอใจที่โรงแรม Bell Hotel ในเมืองเอปปิง ถูกใช้เป็นที่พักของผู้ลี้ภัย ทำให้ชาวเมืองจำนวนหนึ่งมองว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงท้องถิ่น และความตึงเครียดก็ยิ่งทวีขึ้น หลังจากเมื่อวันที่ 4 กันยายน ศาลตัดสินว่าผู้อาศัยที่เป็นผู้ขอลี้ภัยรายหนึ่ง มีความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศ ต่อเด็กหญิงวัย 14 ปีและหญิงอีก 1 คน เหตุการณ์นี้ถูกยกเป็น ‘ชนวน’ จนเกิดการชุมนุมต่อต้านในหลายพื้นที่

ประกอบกับ ยังมีปัญหา ‘small boats crisis’ หรือการลักลอบข้ามช่องแคบอังกฤษด้วยเรือเล็ก ที่เป็นประเด็นร้อนมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประท้วงจำนวนมากเชื่อว่าผู้อพยพที่หลั่งไหลเข้ามากำลังแย่งงาน แย่งทรัพยากร และทำให้บริการสาธารณะตั้งแต่โรงพยาบาลจนถึงที่อยู่อาศัยตึงตัวหนักขึ้น

จนในที่สุด ความไม่พอใจเหล่านี้ก็ถูกโยงเข้ากับประเด็นการเมือง เมื่อหลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ไม่ทำตามคำมั่นในการลดจำนวนผู้อพยพ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐใช้อำนาจเกินขอบเขตในการจำกัดเสรีภาพ โดยเฉพาะหลังมีการจับกุมผู้สนับสนุนขบวนการ Palestine Action เกือบ 900 คน เมื่อต้นเดือนกันยายน ซึ่งถูกยกเป็นอีกหนึ่งเชื้อไฟ ที่ทำให้การชุมนุมครั้งนี้ถูกระบุว่าเป็น ‘การต่อสู้เพื่อเสรีภาพการพูด’

 

ทอมมี โรบินสัน’ แกนนำขวาจัด กับพันธมิตรต่างชาติ

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการระดมมวลชนครั้งนี้คือ สตีเฟน แยกซ์ลีย์-เลนนอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทอมมี โรบินสัน ชายที่ได้รับการขนานนามว่า เส้นทางชีวิตเต็มไปด้วยข้อถกเถียงและคดีความ เขาเริ่มจากการเป็นช่างฝึกหัดด้านเครื่องบิน ก่อนก่อตั้งขบวนการ ‘สันนิบาตป้องกันอังกฤษ’ (English Defence League – EDL) ในปี 2009 ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวขวาจัดที่โดดเด่นด้วยแนวทางต่อต้านผู้อพยพและชาวมุสลิม แม้ว่าทอมมีเคยถูกตัดสินจำคุกหลายครั้ง แต่เขายังคงมีฐานผู้สนับสนุนเหนียวแน่นในโลกออนไลน์ การกลับมาหลังพ้นโทษในปีนี้ จึงถูกมองว่าเป็น ‘การหวนคืนเวที’ ของผู้นำฝ่ายขวาที่สามารถปลุกระดมผู้คนจำนวนมหาศาลให้เชื่อว่าตนเองกำลังต่อสู้เพื่อ ‘ปกป้องอังกฤษ’

สิ่งที่ทำให้การชุมนุม Unite the Kingdom ถูกจับตามองยิ่งขึ้น คือการเสริมบทบาทของบุคคลที่ทรงอิทธิพลนอกการเมืองอังกฤษ  เช่น อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของแพลตฟอร์ม X ที่ปรากฏตัวผ่านวิดีโอลิงก์ วิจารณ์การอพยพอย่างไร้การควบคุมและเรียกร้องให้ อังกฤษ ‘ยุบสภาและเปลี่ยนรัฐบาลทันที’ หรืออีกคนหนึ่ง คือ เอริก เซมมูร์ นักการเมืองขวาจัดชาวฝรั่งเศสที่ขึ้นเวทีตอกย้ำทฤษฎีการแทนที่ครั้งใหญ่ หรือ Great Replacement ซึ่งเป็นทฤษฎีสมคบคิดของชาวตะวันตก โดยเฉพาะคนยุโรปผิวขาวที่เชื่อว่า พวกเขากำลังจะถูกกลืนกินโดยผู้อพยพจากแอฟริกาและตะวันออกกลาง การปรากฏตัวของทั้งสองสะท้อนการเชื่อมโยงของเครือข่ายฝ่ายขวาข้ามพรมแดน ที่ใช้วาทกรรมผู้อพยพเป็นเครื่องมือระดมความไม่พอใจในอังกฤษให้สอดรับกับกระแสการเมืองโลก

 

การปะทะกันระหว่าง 2 อุดมการณ์

นอกจาก Unite the Kingdom แล้ว อีกฝากหนึ่งยังมีการเดินขบวนที่ใช้ชื่อว่า ‘March Against Fascism’ ซึ่งจัดโดยเครือข่าย Stand Up To Racism (SUTR) เกิดขึ้นคู่ขนานไปพร้อมกัน โดยตำรวจประเมินว่ามีผู้เข้าร่วมราว 5,000 คน ผู้ชุมนุมออกมาต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ชูป้าย “Refugees Welcome” และ “Smash the Far Right” พร้อมตะโกนคำขวัญ “Stand up, fight back!” เพื่อตอบโต้กระแสเกลียดชังของฝ่ายขวา

ขบวนนี้มีนักการเมืองฝ่ายซ้ายอย่าง ซาราห์ ซุลตานา (Zarah Sultana) และ ไดแอน แอ็บบอตต์ (Diane Abbott) ร่วมขึ้นเวที โจมตีโรบินสันและพันธมิตรว่าเป็นผู้เผยแพร่ “ถ้อยคำเท็จที่เป็นอันตราย” และสร้างความแตกแยกให้สังคมอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีบรรดาครู นักกิจกรรม และประชาชนทั่วไปออกมาร่วมชุมนุม โดยมีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนความกังวลว่ากระแสเกลียดชังต่อผู้อพยพกำลังบ่อนทำลายความเป็นปึกแผ่นของประเทศ

การเผชิญหน้าระหว่างสองม็อบที่มีอุดมการณ์ตรงข้ามกัน จึงกลายเป็นภาพแทนของความแตกแยกที่กำลังกัดกร่อนสังคมอังกฤษ ระหว่างฝ่ายที่เชื่อว่าการจำกัดผู้อพยพคือการปกป้องชาติ กับฝ่ายที่ยืนยันว่าความหลากหลายคือพลังสำคัญของประเทศ

 

จับสัญญาณอนาคตการเมืองอังกฤษ

การชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 13 กันยายน ไม่ได้เป็นเพียงการรวมตัวของฝ่ายขวาจัด แต่สะท้อนการปะทุของความไม่พอใจที่สั่งสมมานานในสังคมอังกฤษ ตั้งแต่ปัญหาผู้อพยพ การแย่งชิงทรัพยากร ไปจนถึงความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก ม็อบที่มีผู้เข้าร่วมกว่าแสนคนครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณว่ากระแส ต่อต้านผู้อพยพ กำลังเคลื่อนจากชายขอบสู่ศูนย์กลางการเมือง

แรงกดดันดังกล่าวทำให้รัฐบาลแรงงานภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ต้องเผชิญโจทย์ยากในการรักษาภาพลักษณ์ของอังกฤษในฐานะประเทศที่ยืนหยัดบนความหลากหลายและความอดทน หรือจะขยับนโยบายเข้าหาฝ่ายขวาเพื่อลดแรงปะทะในสังคม ขณะเดียวกัน พรรค Reform UK และกลุ่มการเมืองขวาจัดก็กำลังใช้โอกาสนี้สร้างพื้นที่ใหม่ทางการเมือง ที่อาจเปลี่ยนสมการการเลือกตั้งในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้น โพลหลายสำนักตลอดปีนี้สะท้อนชัดถึงแรงกดดันดังกล่าว อย่างผลสำรวจของ YouGov ระบุว่า 70% ของชาวอังกฤษ เห็นว่าประเทศรับผู้อพยพมากเกินไปในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ขณะที่การสำรวจของ Ipsos พบว่าเกือบ หนึ่งในสาม ของผู้ตอบแบบสอบถามไว้ใจ Reform UK เรื่องนโยบายคนเข้าเมืองมากกว่าพรรคใหญ่ทั้งสองขั้ว ภาพรวมนี้ชี้ว่าฝ่ายขวาอาจไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แต่กำลังขยับเข้ามาเป็นผู้กำหนดวาระสาธารณะ และอาจกลายเป็นแรงเปลี่ยนทิศทางการเมืองอังกฤษอย่างถาวร

PattananWriterPattanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง