การประท้วงของ GenZ ในเนปาล ไม่ได้สะท้อนแค่ความโกรธแค้นจากการถูกปิดกั้นโซเชียลมีเดีย แต่คือการปะทุของความเดือดดาลต่อการเมืองที่ติดอยู่กับกลุ่มอำนาจเดิม และเศรษฐกิจที่ปิดกั้นอนาคตคนรุ่นใหม่ ทั้งหมดนี้อาจเป็น ‘สัญญาณ’ ที่ประเทศอื่นไม่อาจเมินเฉย
เพียงไม่กี่วัน การลุกฮือก็เขย่าเสถียรภาพรัฐบาลจนนายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลี ต้องลาออก พร้อมปลุกให้สังคมตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจที่ไม่เคยเปลี่ยนตลอดสามทศวรรษ ท่ามกลางความไม่พอใจต่อการคอร์รัปชัน ความเหลื่อมล้ำ และวิถีชีวิตหรูหราของลูกหลานนักการเมืองที่ตัดกับอนาคตอันมืดมนของคนส่วนใหญ่ ขณะเดียวกัน กระแส pro-monarchy ที่ปะทุมาตั้งแต่ต้นปีก็กำลังหวนกลับมาท้าทายความทรงจำเรื่องการล่มสลายของสถาบันกษัตริย์
“นี่คือ wake-up call สำหรับประเทศที่ยังถูกครอบงำโดยกลุ่มผู้นำสูงวัยและเครือข่ายอำนาจเดิม” ความเห็นของ เดวิด เซดดอน นักวิชาการอาวุโสด้านการเมือง–เศรษฐกิจ สะท้อนว่า การลุกฮือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประท้วงชั่วคราว แต่คือสัญญาณของความอัดอั้นที่สะสมมานาน ซึ่งทิ้งคำถามใหญ่เอาไว้ว่า ทำไมการเคลื่อนไหวของ GenZ เนปาลจึงแตกต่างจากอดีต? และสิ่งนี้กำลังเตือนอะไรกับประเทศที่ยังไม่เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่?
การเมืองที่ยึดติดอยู่กับกลุ่มอำนาจเดิม
“สามทศวรรษที่ผ่านมา การเมืองเนปาลติดอยู่กับผู้นำไม่กี่คนจากสามพรรคใหญ่ ได้แก่ พรรคคองเกรส พรรคคอมมิวนิสต์ UML และพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาอิสต์” เดวิด เซดดอน นักวิชาการชาวอังกฤษผู้ศึกษาการเมือง–เศรษฐกิจเนปาลมาตั้งแต่ปี 1974 อธิบายกับ The Indian Express “มันเป็นช่วงเวลาแห่งความหยุดนิ่งและคอร์รัปชันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
คำพูดของเซดดอนมีข้อเท็จจริงยืนยันชัดเจน เนปาลผ่านการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2015 หลังแผ่นดินไหวใหญ่ แต่รัฐธรรมนูญนั้นกลับไม่ได้สร้างประชาธิปไตยที่เปิดกว้าง หลายฝ่ายมองว่าพรรคการเมืองทำหน้าที่เป็นเพียง ‘เครื่องจักรหาเสียง’ มากกว่าพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้มีบทบาท ขณะเดียวกัน ดัชนีคอร์รัปชันปี 2024 ของ Transparency International จัดให้เนปาลอยู่ที่ อันดับ 107 จาก 180 ประเทศ ซึ่งสะท้อนว่าความไม่โปร่งใสและการผูกขาดผลประโยชน์ยังฝังรากลึก
คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่าเหตุใดการปิดกั้นโซเชียลมีเดียถึงกลายเป็นชนวนให้ GenZ เนปาลลุกฮือ แต่คือคำถามใหญ่กว่านั้นว่า “หากการเมืองยังผูกขาดอยู่กับกลุ่มอำนาจเดิม และปิดกั้นเสียงของคนรุ่นใหม่ เหตุการณ์แบบเนปาลอาจเกิดขึ้นกับประเทศอื่นด้วยหรือไม่?”
เศรษฐกิจที่ผลักคนรุ่นใหม่ออกไปทำงานต่างแดน
“หนึ่งในลักษณะสำคัญของเศรษฐกิจเนปาลตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา คือคนหนุ่มสาวจำนวนมากไม่ได้หางานทำในประเทศ แต่ถูกผลักให้ออกไปทำงานในต่างแดน” เซดดอนอธิบาย “ชนชั้นการเมืองจึงคาดหวังมาตลอดว่า หากคนหนุ่มสาวไม่พอใจ พวกเขาก็จะออกไปทำงานนอกบ้าน และนั่นทำให้พลังของคนรุ่นใหม่ในประเทศถูกประเมินต่ำเกินไป”
ข้อมูลที่สามารถยืนยันคำกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน คือรายงานเศรษฐกิจเมื่อปี 2023 ที่ชี้ว่า เนปาลพึ่งพาเงินโอนจากแรงงานต่างแดนมากถึง 26.6% ของ GDP สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ในเวลาเดียวกัน อัตราว่างงานคนหนุ่มสาวกลับพุ่งกว่า 20% นี่เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลทุกยุคมองว่าการส่งออกแรงงานเป็นทางออกที่ง่ายกว่าการลงทุนเพื่อสร้างงานคุณภาพในประเทศ
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่แรงงานในประเทศที่ไหลออก แต่ยังเกิดภาวะ ‘สมองไหล’ ด้วย คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาหรือทักษะสูงเลือกออกไปทำงานด้าน IT วิศวกรรม หรือการเงินในต่างประเทศ ขณะที่แรงงานทักษะต่ำและแรงงานก่อสร้างก็หลั่งไหลไปยังตะวันออกกลางและมาเลเซีย ผลลัพธ์คือ เนปาลต้องสูญเสียทั้ง ‘พลังแรงงาน’ และ ‘ศักยภาพทางปัญญา’ ไปพร้อมๆ กัน
ผลคือ ชนชั้นการเมืองเกิดความชะล่าใจ พวกเขามองว่าเยาวชนที่ยังอยู่ในประเทศเป็นเพียงกลุ่มที่ไม่มีพลังต่อรอง เพราะ ‘ตัวแรง’ ถูกดูดออกไปหมดแล้ว แต่การลุกฮือของ GenZ พิสูจน์ว่าความคิดนี้ผิดมหันต์ คนหนุ่มสาวที่ถูกทิ้งไว้คือกลุ่มที่ทนไม่ไหวกับระบบ จนพวกเขาระเบิดความอัดอั้นเป็นพลังการประท้วงครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษ
การเมืองไร้ทางออก ปลุกเงาราชบัลลังก์ขึ้นอีกครั้ง
ความปั่นป่วนในเนปาลครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความไม่พอใจของมวลชนถูกปลุกขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็เพิ่งเกิดกระแสเรียกร้องให้รื้อฟื้นระบอบกษัตริย์และให้เนปาลกลับมาเป็นรัฐฮินดู มีมวลชนออกมาชุมนุมเรียกร้องในกรุงกาฐมาณฑุ ซึ่งสะท้อนว่า เริ่มมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งหันหลังให้ระบบสาธารณรัฐ และมองว่าอดีตอาจ ‘มั่นคงกว่า’ ปัจจุบัน
แต่หากมองย้อนกลับไป สถาบันกษัตริย์เนปาลไม่ได้ล่มสลายเพราะเหตุบังเอิญ ไม่ว่จะเป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ในราชสำนักปี 2001 ที่กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์สิ้นพระชนม์, ความพยายามของกษัตริย์กยันเนนทราในการรวบอำนาจกลับในปี 2005 ตลอดจนการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และการใช้กองทัพควบคุมประชาชน เหล่านี้คือบาดแผลที่สะสมจนประชาชนเลือกโค่นล้มราชบัลลังก์ในปี 2008 และประกาศเป็นสาธารณรัฐ
อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของชนชั้นการเมืองในการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง กลับเปิดพื้นที่ให้กระแส pro-monarchy หวนคืนอีกครั้ง คำแถลงล่าสุดของอดีตกษัตริย์กยันเนนทราที่ว่า “ไม่มีระบบหรืออุดมการณ์ใดสำคัญกว่าความเป็นอิสระของประชาชน” ถูกตีความว่าเป็นการย้ำสถานะของสถาบันกษัตริย์ในความทรงจำสาธารณะ
และเรื่องนี้ยิ่งถูกตอกย้ำมากขึ้นไปอีก เมื่อพลเอกอโศก ราช ซิกเดล ผู้บัญชาการกองทัพบกเนปาล ออกมาแถลงข่าวต่อหน้าฉากหลังที่มีธงชาติเนปาล และภาพอนุสาวรีย์ของพระเจ้าปฤถวี นารายณ์ ชาห์ (Prithvi Narayan Shah) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สำคัญที่รวมดินแดนเนปาลให้เป็นชาติเดียว ยิ่งเพิ่มคำถามว่ากองทัพกำลังส่งสัญญาณทางการเมืองบางอย่างหรือไม่
แม้ว่ากระแสนี้อาจยังไม่ใหญ่พอที่จะเปลี่ยนระบบในทันที แต่การที่สังคมบางส่วนหันกลับไปมองอดีต คือเครื่องสะท้อนว่า เมื่อการเมืองปัจจุบันไม่ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของประชาชน ผู้คนย่อมหวนคิดถึงสิ่งที่เคยมี แม้จะเป็นระบอบที่พวกเขาเคยร่วมกันโค่นล้ม










