“ฟาร์มเฮ้าส์ สดใหม่ทุกเช้า ฟาร์มเฮ้าส์ หอมกรุ่นจากเตา ฟาร์มเฮ้าส์ หอมนุ่มทุกเช้า อร่อยถูกใจเรา ฟาร์มเฮ้าส์ ฟาร์มเฮ้าส์” เพลงนี้คือเพลงที่ถูกใช้ในโฆษณาของแบรนด์ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์มานานหลายปี
จนถึงวันนี้แบรนด์ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ก็ผ่านมาแล้ว 43 ปีจากจุดเริ่มต้น เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ขนมปังที่อยู่คู่คนไทยเลยก็ยังได้ ซึ่งสินค้าที่เราคุ้นเคยกันดีมีหลายตัว เช่น ขนมปังแถว ขนมปังทาหน้า เพราะคนนิยมทานเป็นมื้อเช้าก่อนไปโรงเรียนหรือทำงาน
ในอดีต ‘ขนมปัง’ ไม่ใช่ของหาง่ายเหมือนทุกวันนี้ ยิ่งขนมปังที่อบสดใหม่ทุกเช้าก็จะยิ่งหายาก ทำให้แบรนด์อย่างฟาร์มเฮ้าส์กลายเป็นชื่อที่ติดปากคนไทยมาตลอด
แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ร้านขนมปังเบเกอรี่เกิดขึ้นทุกหัวมุมเมือง ทั้งแบบโฮมเมด คาเฟ่ หรือแฟรนไชส์จากต่างประเทศ ทำให้การจะยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ใช่แค่ความหอมกรุ่นจากเตา แต่ต้องมี ‘การปรับตัว’ ทั้งเรื่องรสชาติ ช่องทางขาย และความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย
[ ภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดี แข่งขันก็เดือด ]
‘อภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย’ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมปังรายใหญ่ภายใต้แบรนด์ ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ เล่าให้ฟังว่า นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 ยอดขายขนมปังค่อนข้างหดตัวลง
โดยเฉพาะขนมปังแถว มองว่าเกิดจากเศรษฐกิจที่ไม่ดี คนจับจ่ายซื้อของน้อยลง และขนมปังยังถูกมองว่าเป็น ‘ขนม’ ที่อาจไม่จำเป็นในยุคที่คนกำลังประหยัด
แถมยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แม้ว่าในตลาดจะมีผู้เล่นแค่ไม่กี่ราย แต่คู่แข่งก็มีการออกสินค้าใหม่ ที่ราคาเข้าถึงง่ายมาเรื่อยๆ
อีกทั้งยังในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ต้นทุนข้าวสาลีก็พุ่งสูงขึ้นมากเป็นสาเหตุทำให้ต้องปรับขึ้นราคา แต่ปัจจุบันได้ปรับราคาลงมาแล้วหลังจากต้นทุนลดลง
จากปัจจัยรอบด้านที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้กำไรลดลง อย่างช่วงก่อนโควิด บริษัทจะโตมากสุดสองดิจิต แต่ตอนนี้ลดลงมาเหลือเพียงตัวเลขหลักเดียวเท่านั้น
มาดูในไตรมาสแรกของปี 2568 กัน บริษัทมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 1,687.99 ล้านบาท ลดลงถึง 117.74 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 341.51 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 2568 ฟาร์มเฮ้าส์ตั้งเป้ารายได้เติบโตที่ 7-10% จากการลงทุนเพิ่มและการไม่หยุดพัฒนา
[ ทุ่ม 4,000 ล้าน ทำขนมปังให้ดีกว่าเดิม ]
แม้ดูแล้วภาพรวมอาจจะไม่ดีนัก แต่สิ่งที่ ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ ยังคงตั้งใจทำต่อไป คือการใส่ใจและไม่หยุดพัฒนา ด้วยการลงทุนเครื่องจักรและโรงงานใหม่
โดยบริษัทวางแผนลงทุนรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี (2568-2570) เป้าหมายหลักคือการสร้างโรงงานผลิตแป้งสาลีเป็นของตนเอง มูลค่า 1,200 ล้านบาท
โรงงานผลิตแห่งใหม่ที่ลาดกระบังพร้อมเครื่องจักร มูลค่า 2,000 ล้านบาท และขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด รวมถึงการลงทุนในรถขนส่งไฟฟ้า (EV) ด้วย
‘‘การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของฟาร์มเฮ้าส์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Supply Chain ของเราเอง การมีโรงงานผลิตแป้งสาลีของเราเองจะช่วยให้เราสามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว’’ อภิเศรษฐ กล่าว
[ ขยายช่องทางส่งขนมปังสดใหม่ = ขยายฐานลูกค้า ]
ทีนี้นอกจากการทุ่มงบฯ สร้างโรงงานใหม่แล้ว บริษัทยังมุ่งพัฒนาช่องทางการขายเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงผู้บริโภค อย่างการเจาะตลาด B2B ที่ปัจจุบันมีการรับทำสินค้าให้กับเชนร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดด้วย
หรืออย่างล่าสุดได้ขยายธุรกิจใหม่ในการส่งสินค้าประเภท Frozen Dough ให้กับโรงแรมต่างๆ รวมถึงตู้ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ (Vending Machine) ที่ปัจจุบันมีการเติบโตมากถึง 3 เท่า
โดยปีนี้มีแผนเพิ่มจำนวนตู้จาก 500 ตู้ เป็น 1,000 ตู้ภายในสิ้นปี โลเคชั่นก็จะเน้นติดตั้งในโรงงาน โรงพยาบาล โรงเรียน และชุมชนเป็นหลัก
[ เชื่อว่าตลาดขนมปังยังไปต่อได้ ]
ถึงแม้ตลาดโดยรวมจะทรงตัวและแข่งขันสูง แต่ฟาร์มเฮ้าส์ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของแบรนด์ เพราะยังมองเห็นโอกาสที่ตลาดขนมปังและเบเกอรี่ในไทยจะเติบโตได้อีกอย่างน้อย 2 เท่า
เพราะเมื่อเทียบกับประเทศอย่างมาเลเซียและญี่ปุ่น ซึ่งมีอัตราการบริโภคขนมปังสูงกว่ามาก แม้ผู้คนจะนิยมข้าวเป็นหลักอาหารหลักก็ตาม
ดังนั้น ฟาร์มเฮ้าส์จึงเชื่อว่าตลาดยังมีทางไป เพียงแค่ต้องให้ความรู้และสร้างวัฒนธรรมการบริโภคขนมปังในหมู่คนไทยให้มากขึ้น เพื่อผลักดันการเติบโตและทำให้แบรนด์ยั่งยืน
แม้วันนี้สภาพตลาดจะไม่ง่าย แต่ ‘ฟาร์มเฮ้าส์’ ก็เลือกที่จะเดินหน้าด้วยการลงทุนจริงจัง เพื่อสร้างรากฐานใหม่ให้แข็งแรงยิ่งกว่าเดิม
จากแบรนด์ขนมปังที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 43 ปี วันนี้ฟาร์มเฮ้าส์กำลังขยายอาณาจักรครั้งใหญ่ เพื่อพิสูจน์ว่า ‘ขนมปังหอมกรุ่นจากเตา’ ยังอยู่คู่คนไทยต่อไป










