ในช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วน่าจะเห็นชั้นวางช็อกโกแลตใหญ่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะช็อกโกแลตห่อสีทองอย่าง Ferrero Rocher ที่ออกแพ็กเกจใหม่มาในช่วงวาเลนไทน์ด้วย
ถ้าสังเกตเพิ่มอีกนิดจะเห็นว่า Ferrero Rocher มักจะวางอยู่คู่กับช็อกโกแลตสำหรับเด็กๆ อย่าง Kinder เสมอ หรืออาจจะมี Nutella มาวางไว้ในบริเวณใกล้ๆ กันอีกด้วย ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่แผนการตลาดในช่วงเทศกาลแห่งความรัก แต่เป็นเพราะทั้งสามผลิตภัณฑ์นี้ ผลิตมาจากบริษัทเดียวกัน
ช็อกโกแลตเหล่านี้ยังทำให้ตระกูลเฟอร์เรโรกลายเป็นตระกูลที่รวยติดอันดับ Top 50 ของนิตยสาร Forbes อีกด้วย
TODAY Bizview ชวนมาทำความรู้จักโรงงานช็อกโกแลตของตระกูล Ferrero ที่ทำให้ร้านช็อกโกแลตธรรมดาๆ ในแอฟริกากลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลกใน 3 ชั่วอายุคน
ช็อกโกแลตห่อสีทองจากทายาท 3 รุ่น
ย้อนกลับไปในปี 1938 หรือยุคสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นยุคที่ช็อกโกแลตเป็นสินค้าราคาแพงมาก
ปิเอโตร เฟอร์เรโร (Pietro Ferrero) เจ้าของร้านขายขนมชาวอิตาลีและครอบครัว เปิดร้านทำบิสกิตขายให้กองทัพอิตาลีที่ประจำการอยู่ที่ประเทศแถบแอฟริกาตะวันออก แต่ขายไม่ค่อยดีจึงกลับมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองอัลบาของอิตาลี
จิโอแวนนี น้องชายของปิเอโตรเคยทำค้าส่งอาหารมาก่อน เขาแนะนำให้พี่ชายทดลองนำกากน้ำตาล น้ำมันมะพร้าว น้ำมันเฮเซลนัท และโกโก้เล็กน้อยมาผสมกันจนได้ออกมาเป็นขนมชื่อว่า Giandujot
เฟอร์เรโรขยายตลาดไปที่เยอรมนี ด้วยการเปลี่ยนโรงงานขีปนาวุธของนาซีเป็นโรงงานผลิตขนมหวาน ต่อด้วยการขยายไปเบลเยียมและออสเตรีย
ในปี 1962 อิตาลีเพิ่มจะฟื้นตัวหลังพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง มิเคเล เฟอร์เรโร (Michele Ferrero) ลูกชายของปิเอโตรก็เพิ่มโกโก้และเนยโกโก้ลงไป แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Nutella ทำให้ Nutella โด่งดังเป็นพลุแตก
นอกจากขยายไปต่างประเทศแล้ว เฟอร์เรโรยังผลิตสินค้าอย่าง Kinder ในปี 1968 และ Tic Tac ในปี 1969
จนกระทั่งในปี 1982 มิเคเล ผู้ศรัทธาในศาสนาได้ไปสักการะพระแม่มารีในถ้ำที่ฝรั่งเศส ทำให้เขาได้ไอเดียผลิตสินค้าชิ้นใหม่ ด้วยการนำช็อกโกแลตนม มาใส่เฮเซลนัทกรุบกรอบ และเวเฟอร์ ห่อด้วยกระดาษสีทอง โดยได้แรงบันดาลใจมาจากออร่าสีทองในถ้ำ เขาจึงตั้งชื่อขนมว่า Ferrero Rocher โดยมาจากชื่อของตระกูลกับชื่อของถ้ำแห่งนั้น
แล้ว Ferrero Rocher ก็กลายเป็นขนมชื่อดังระดับโลกในเวลาไม่นาน
ในปี 1997 มิเคเลส่งต่อกิจการต่อให้ลูกชายของเขาชื่อจิโอแวนนีและปิเอโตรดูแล แต่ปิเอโตร เสียชีวิตในปี 2011 ทำให้จีโอแวนนีต้องดูแลกิจการเพียงลำพัง
หนึ่งในเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจคือเฟอร์เรโรให้ความสำคัญกับเทศกาลต่าง ๆ เป็นอย่างยิ่ง
มาร์ค เวคฟิลด์ (Mark Wakefield) รอบประธานฝ่ายการตลาดของเฟอร์เรโรบอกว่าเฟอร์เรโรจะวางแผนการขายช็อกโกแลตช่วงวาเลนไทน์อย่างน้อย 15 เดือน แพ็คเกจจะต้องสะดุดตาเป็นพิเศษ เพราะนี่คือเทศกาลที่ Ferrero Rocher จะสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างน้อย 30%
แต่ช็อกโกแลตของเฟอร์เรโรมักจะขายดีที่สุดในช่วงเทศกาลอย่างคริสต์มาสและปีใหม่ โดยยอดขายกว่า 60% มักจะดีดตัวในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายของปี หรือช่วงคริสต์มาสและปีใหม่นั่นเอง
‘ช่วงเวลาทอง’ ที่ทำให้เฟอร์เรโรคือที่สุดในหลายด้าน
จิโอแวนนีขยายกิจการของเฟอร์เรโร ผ่านการเข้าซื้อกิจการ Thorntons ผู้ผลิตช็อกโกแลตจากอังกฤษ Fannie May และ Ferrera ของอเมริกา
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมาเฟอร์เรโรเข้าซื้อกิจการขนมหวานของ Nestle ในสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่ากว่า 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 90,000 ล้านบาท ทำให้เฟอร์เรโรกลายเป็นผู้ขายช็อกโกแลตที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจาก Mars
เฟอร์เรโรยังเป็นตระกูลที่ใช้ถั่วเฮเซลนัท 1 ใน 3 ที่ทั่วโลกสมามารถผลิตได้ พูดง่ายๆ ก็คือที่นี่ใช้เฮเซลนัทมากที่สุดในโลกนั่นเอง ทำให้พวกเขาต้องหันมาทำกิจการซื้อ-ขายเฮเซลนัทด้วย
นอกจากนี้จิโอแวนนี เฟอร์เรโร CEO ของเฟอร์เรโร กรุ๊ป คนปัจจุบันมีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 3.41 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.22 ล้านล้านบาท ถือเป็นบุคคลที่รวยติดอันดับ Top 50 ของโลกและรวยเป็นอันดับ 2 ของอิตาลี
ปัจจุบันเฟอร์เรโรมีสินค้าวางขายใน 170 ประเทศทั่วโลก มีโรงงาน 37 แห่ง มีพนักงาน 4.7 หมื่นคน และในปีที่ 2023 ที่ผ่านมา เฟอร์เรโรสามารถทำยอดขายได้ทั้งหมด 1.7 หมื่นล้านยูโร หรือ 6.5 แสนล้านบาท
โรงงานช็อกโกแลตที่ลึกลับเหมือนวองกา
หากใครเคยดูภาพยนตร์หรืออ่านหนังสือเรื่องชาร์ลีกับโรงงานช็อกโกแลต จะพบว่าโรงงานช็อกโกแลตของวิลลี่ วองก้าเป็นหนึ่งในโรงงานที่ลึกลับมาก หากจะเข้าไปเยี่ยมชมโรงงานต้องชิงโชคผ่านการซื้อช็อกโกแลตจนได้ตั๋วทองหรือ golden ticket ก่อน
ไม่ต่างกับโรงงานช็อกโกแลตของเฟอร์เรโรเลย
ตามปกติแล้ว โรงงานของเฟอร์เรโรเป็นหนึ่งในโรงงานที่ไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าไปในโรงงาน แม้แต่สื่อมวลชน เพราะกลัวว่าสูตรจะรั่วไหล
จนกระทั่งมีสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งเคยเข้าไปในโรงงานเมื่อสิบกว่าปีก่อน เล่าว่าเบื้องหลังกำแพงหนาราวกับค่ายทหารหรือฐานผลิตขีปนาวุธ มีประตูเหล็กกั้นสูง 10 ฟุต โรงงานแห่งนี้มีเครื่องจักรกลทันสมัยสำหรับผลิตช็อกโกแลตมีกล้องคอยสำรวจตรวจตราการทำงานของพวกมัน และที่สำคัญคือโรงงานทุกแห่งทั่วโลกจะมีรูปปั้นพระแม่มารี เพื่อเป็นการสะท้อนถึงความศรัทธาของเจ้าของโรงงาน
สำหรับแผนต่อไปของเฟอร์เรโร พวกเขาจะไม่หยุดแค่การขายช็อกโกแลต แต่จะเข้าไปเล่นในตลาดเป็นของหวานประเภทใหม่ๆ ที่เฟอร์เรโรมองว่าน่าสนใจ
ในปี 2022 ที่ผ่านมา เฟอร์เรโรซื้อกิจการ Well Enterprise หนึ่งในกิจการไอศครีมที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เพื่อบุกตลาดไอศครีมในแถบอเมริกาเหนือ และ Fresystem Group ผู้ผลิตเบเกอรีแช่แข็งสัญชาติอิตาลี เพื่อเปิดตัว Nutella Muffins ที่ Fresystem เป็นผู้ผลิตมาตั้งแต่ปี 2021
เรื่องความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เฟอร์เรโรจะให้ความสำคัญมากขึ้น ด้วยการลงทุนกับพลังงานสะอาดภายในโรงงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในการเลือกซื้อวัตถุดิบ
โดยในปี 2022 ที่ผ่านมาเฟอร์เรโรซื้อโกโก้จากกลุ่มเกษตรกรโดยตรง 97%
น่าจับตาดูว่าหลังเข้าซื้อกิจการในตลาดของหวานใหม่ๆ แล้ว ผู้บริโภคจะได้ลองสินค้าอะไรจากเฟอร์เรโรในปีนี้
อ้างอิง :
https://www.ferrero.com/int/en/news-stories/news/ferrero-group-reports-consolidated-financial-statements-2022-2023
https://www.forbes.com/feature/ferrero-candy-empire/#4be6ead96c49
https://www.theguardian.com/business/2011/oct/28/ferrero-unwrapped
https://www.fooddive.com/news/valentines-day-chocolate-brand-loyalty-ferrero-godiva/642695/
https://www.theguardian.com/business/2015/oct/30/ferrero-rocher-factory-chocolatier-christmas-market










