เป็นตำนานเรื่องเล่ากึ่งอุทาหรณ์ในวงการธุรกิจไปแล้วกับเรื่องราวการล่มสลายของ Blockbuster แฟรนไชส์ร้านเช่าวิดีโอยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ว่าต้องล้มลงเพราะพลาดโอกาสซื้อ ธุรกิจเน็ตฟลิกซ์ยุคแรกเริ่มที่ตอนนั้นมีมูลค่าเพียง 50 ล้านดอลลาร์เท่านั้น จนต่อมา Blockbuster ล้มละลาย ส่วน Netflix กลายเป็นบริษัทที่เติบโตมีมูลค่าพุ่งสูงมหาศาลดิสรัปต์วงการภาพยนตร์ ซีรีส์
เรื่องราวนี้มักถูกนำมาเล่าขานเป็นเครื่องเตือนใจเวลาจะบอกให้ผู้ประกอบการ คนทำธุรกิจตระหนักถึงความล้มเหลวของการปรับตัวก้าวไม่ทันยุคสมัย และเรียนรู้ช้าเกินไปเพื่อที่จะปรับโครงสร้างธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม อดีตซีอีโอ Blockbuster ‘เจมส์ คีย์’ ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Management Today บอกว่า การตัดสินของสื่อในการนำเสนอข่าวคือสิ่งที่ฆ่า Blockbuster ต่างหาก ไม่ใช่ Netflixเพราะตอนเขามารับตำแหน่งซีอีโอ Blockbuster เขาเพิ่งประสบความสำเร็จจากการฟื้นฟูธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในสหรัฐ ช่วงปี 2543-2548 จนต่อมาเข้ามาบริหาร Blockbuster ไม่ถึงหนึ่งปีบริษัทก็เผชิญปัญหา อยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง และช่วงนั้นเขากลับมาใช้ระบบเก็บค่าปรับคืนวิดีโอล่าช้า และเข้าซื้อบริษัทสตรีมมิ่งวิดีโอ Movielink
เจมส์ คีย์ บอกว่า ตอนนั้นอยู่ในจุดที่ดีมากที่จะประสบความสำเร็จเหนือ Netflix เพราะมีข้อเสนอที่เหนือกว่า และสามารถเลี่ยงวิกฤตขาดสภาพคล่องของบริษัทได้ และยังมีข้อตกลงที่น่าตื่นเต้นกับกูเกิ้ลที่อยู่ระหว่างดำเนินการ
แต่ทุกอย่างพังทลายลงเมื่อสื่อได้รับข่าวประชาสัมพันธ์จาก Moody’s (บริษัทจัดอันดับเครดิตระดับโลก) ว่า Blockbuster มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น โดย 1 ใน 3 ของหนี้ 1,000 ล้านดอลลาร์ มีกำหนดรอบชำระในปี 2552 และ Moody’s เตือนว่าบริษัทอาจไม่สามารถรีไฟแนนซ์หนี้ได้ จากนั้นเมื่อสื่อนำประเด็นนี้ไปพาดหัว
อดีตซีอีโอ Blockbuster บอกว่า ทันทีที่สื่อพาดหัวข่าวนี้ก็เหมือนเป็นนักฆ่าในทันที เมื่อสื่อเริ่มพูดว่า Blockbuster กำลังจะล้มละลาย ซึ่งเราไม่ได้มีความคิดที่จะยื่นขอฟื้นฟูกิจการ
ในตอนนั้นหนังสือพิมพ์ New York Post พิมพ์ภาพถ่ายครึ่งหน้าของ เจมส์ คีย์ ซีอีโอ Blockbuster โดยที่แต่งภาพบริเวณจมูกของเขาใหม่ให้เป็นจมูกพินอคคิโอ เมื่ออดีตซีอีโอตอนนั้นปฏิเสธข่าวเรื่องล้มละลาย
เขาบอกว่า ตอนนั้นเรามีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่อาจเป็นผู้เปลี่ยนเกม ซึ่งมีฐานที่แข็งแรงมาก แต่ท้ายที่สุดพาดหัวข่าวเรื่องล้มละลายก็ส่งผลให้สตูดิโอภาพยนตร์หวาดกลัว และค่ายหนังต่างๆ ก็ลดเงื่อนไขเครดิตเทอมของ Blockbuster จากมีเวลา 90 วัน เป็นการชำระด้วยเงินสด ทำให้เงินออกจากระบบของ Blockbuster เกือบ 300 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ และต่อมาช่วงกันยายน 2553 Blockbuster ได้ยื่นขอฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายมาตรา 11
เจมส์ คีย์ ที่พยายามจะอธิบายสาเหตุจากต้นเรื่องบอกว่ามองย้อนไปเรื่องนี้ยังหลอกหลอนเค้าอยู่
“วันนี้เมื่อผมกูเกิ้ลค้นชื่อตัวเอง ชื่อผมยังคงติดอยู่กับการเป็นคนที่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน ซึ่งเป็นเรื่องเจ็บปวดมากเมื่อพิจารณาจากเรื่องจริงที่ว่าจุดประสงค์ที่ผมเข้าไปทำหน้าที่บริหารตอนนั้นคือ การอยู่ที่นั่นเพื่อเปิดรับเทคโนโลยีและยกระดับองค์กรในเรื่องเทคโนโลยีขึ้นไปอีก”
อย่างไรก็ตาม เจมส์ คีย์ บอกว่า นี่เป็นบทเรียนอันดับหนึ่งที่ต้องเรียนรู้ว่าเมื่อเจออุปสรรค และดูเหมือนจะเลวร้ายมากในตอนนั้นจนคิดว่าไม่มีวันผ่านมันไปได้ แต่จากนั้นเวลาผ่านไปคุณก็จะไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง และเรียนรู้จากประสบการณ์นั้น
เขาบอกว่าเรื่องนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของ ‘เนลสัน แมนเดลา’ ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ที่เคยพูดไว้ว่า “ผมไม่เคยพ่ายแพ้ มีแค่ผมชนะ หรือผมได้เรียนรู้”










