จาก ‘Gudetama’ ไข่ขี้เกียจผจญภัย ขี้เกียจบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร เวลาว่างก็มีข้อดี

จาก ‘Gudetama’ ไข่ขี้เกียจผจญภัย ขี้เกียจบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร เวลาว่างก็มีข้อดี

ธุรกิจ

‘ความขี้เกียจ’ มักถูกมองเป็นตัวร้ายที่มาขัดขวางประสิทธิภาพการทำงานอยู่เสมอ เพราะอยู่ขั้วตรงข้ามกับ ‘ความขยัน’ ที่ถูกชูโรงเป็นตัวเอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘ความขี้เกียจ’ ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามเสมอไป กลับเป็นการกดดันให้ตัวเองต้องขยันอยู่ตลอดเวลาต่างหาก ที่ทำร้ายเราได้มากกว่าที่คิด

‘กุเดทามะ ไข่ขี้เกียจผจญภัย (Gudetama: An Eggcellent Adventure)’ ภาพยนตร์แอนิเมชันที่ฉายภาพของเจ้าไข่ขี้เกียจสีเหลืองอ่อนยวบยาบ มาพร้อมกับลูกเจี๊ยบคู่ใจ แม้ภายนอกจะเป็นตัวการ์ตูนที่ออกผจญภัย ปล่อยอารมณ์ขันระหว่างทางไปเรื่อยๆ แต่นัยหนึ่งก็กลับทำให้ฉุกคิดถึงอีกด้านของความขี้เกียจ แฝงไว้ด้วยปรัชญามากมายที่ทำให้เราตระหนักได้ว่า บางครั้ง ความขี้เกียจก็ไม่ได้แย่เสมอไป แต่ความขี้เกียจนี่แหละที่ทำหน้าที่เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจให้เราข้ามผ่านวันแย่ๆ ไปได้

[ หยุดคิดว่าต้องทำตัวยุ่งมากถึงจะดูขยัน ]

ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ แลนด์สเคปการดำเนินชีวิตประจำวันของใครหลายคนเปลี่ยนไป จนทำให้เส้นแบ่งระหว่างงานและเรื่องส่วนตัวพร่าเลือนลงไป หลายคนพยายามทำสิ่งที่เรียกว่า ‘To-do list’ เพื่อลำดับความสำคัญของงานให้ดีขึ้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้สมองจดจ่ออยู่การทำสิ่งที่ ‘ต้องทำ’ อยู่ตลอดทั้งวัน

ยิ่งสำหรับใครที่ยังทำงานจากที่บ้านอยู่ตลอด ก็ยิ่งทำให้เจ้า ‘To-do list’ อาจแปลงร่างกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่ทำให้เราได้ผ่อนคลายน้อยลง จากจริงๆ แล้วเราอาจจะมีเวลาที่เอาไว้ ‘อยู่เฉยๆ’ เพื่อพักสมองบ้าง กลายเป็นอัดสิ่งที่ต้องทำมาจนแน่นตาราง ‘ความขี้เกียจ’ ที่ควรจะเกิดขึ้นบ้างบางเวลาก็ลดน้อยลงไปด้วย

บทความจากเว็บไซต์ซีเอ็นบีซี (CNBC) ระบุว่า สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างสำหรับคนที่ชอบทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลา นั่นคือการวิ่งไล่ตามความสำเร็จอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แน่นอนว่า การตั้งเป้าหมายไม่ใช่สิ่งที่แย่ แต่ต้องทำด้วยความพอดี การไล่ตามความพึงพอใจของตัวเองไปเรื่อยๆ พร้อมกับความกดดัน จะยิ่งทำให้สิ่งที่เราคาดหวังอย่างการเป็นบุคคล ‘super productive’ ก็จะไม่เกิดขึ้น ซ้ำร้ายยังทำให้การทำงาน สุขภาพกาย สุขภาพสมอง ยิ่งแย่ลงไปในขณะเดียวกัน ปล่อยให้ตัวเองได้ขี้เกียจดูบ้างก็ไม่เป็นไร

จากงานศึกษาในปี 2554 พบว่า เมื่อความสนใจของเราหยุดนิ่ง ปล่อยตัวเองให้ได้ผ่อนคลายจากการโฟกัสดูบ้าง จะช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น มีทักษะในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้นอย่างแท้จริง แล้วยังบอกด้วยว่า การปล่อยจิตใจให้ล่องลอย ไม่ต้องคิดถึงงานหรือเรื่องหนักๆ ในชีวิตสักชั่วครู่หนึ่ง ช่วยสร้าง 3 สิ่งที่จะเกิดผลดีกับตัวคุณ ได้แก่

1.วางแผนสำหรับอนาคตได้

นักวิจัยให้ข้อมูลว่า เราจะคิดถึงอนาคตมากขึ้น หากได้ปล่อยตัวเองให้ผ่อนคลาย ไม่โฟกัสอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นระยะเวลานานๆ จนเกินไป ทำให้ได้มีเวลาครุ่น ไตร่ตรองถึงเป้าหมายระยะยาว รวมถึงการตั้งเป้าหมายที่คมชัดขึ้นแบบไม่รู้ตัว

2.เกิดไอเดียใหม่ๆ

ความคิดสร้างสรรค์มักจะมาตอนที่เราพร้อมทั้งกายทั้งใจ ไม่ใช่การกดดันให้ตัวเองต้องคิดได้ ณ ขณะนั้น มีงานเขียนหลายชิ้นที่ระบุว่า ไอเดียสุดครีเอตหลายๆ ครั้งก็มักจะมาจากตอนที่เรานั่งเหม่อลอย หรือพักผ่อนแบบที่ไม่ได้คิดกดดันตัวเอง ทำให้จิตใต้สำนึกของเราทำงานได้อย่างรวดเร็วกว่าการจดจ่อที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ตลอด เพราะการปล่อยใจสบายๆ จะทำให้เราเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น

3.หาเวลาเติมพลังดูบ้าง

ทุกคนรู้ว่าการพักผ่อนสำคัญที่สุด แต่จะมีสักกี่คนที่ทำสิ่งนี้ได้สมบูรณ์แบบ ทั้งการพักผ่อนดูแลสุขภาพกาย และที่สำคัญ สุขภาพใจก็ต้องแข็งแรงพร้อมเผชิญกับเรื่องยากๆ ไม่คาดฝันในแต่ละวันด้วย

ลองอนุญาตให้ตัวเองได้ขี้เกียจดูบ้าง แยกตัวเองออกจากรอบคิดที่ต้อง ‘productive’ ตลอดเวลา เพราะนอกจากจะไม่ทำให้งานออกมาดีแล้ว ยังทำให้จิตใจและร่างกายของเราก็พลอยทรุดโทรมไปด้วย

ที่มา CNBC, HBR

พิราภรณ์Writerพิราภรณ์
อดีตนักข่าวไลฟ์สไตล์ นักเขียนที่สนใจข่าวการเมือง สังคม เศรษฐกิจ การตลาด และหวังให้ความเหลื่อมล้ำหมดไปจากสังคม

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง