แม้สหรัฐฯ จะเป็นผู้กำหนดเกมในสงครามการค้า แต่ผลกระทบกลับย้อนเข้าหาตัวเองอย่างชัดเจน เศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2025 หดตัวลง 0.3% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้และนับเป็นการหดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2022
สาเหตุสำคัญมาจากนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่ทำให้หลายบริษัทในสหรัฐฯ รีบสั่งนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศล่วงหน้า ก่อนที่ภาษีจะเริ่มใช้จริง ส่งผลให้ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 41% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ซึ่งตามหลักการคำนวณ GDP ของสหรัฐฯ การนำเข้าสินค้าถือเป็นการหักลบจากการใช้จ่ายรวม ทำให้ตัวเลข GDP ลดลงทันที แม้ว่าการบริโภคภายในและการลงทุนภาคเอกชนจะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้นถึง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า
นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่ายชี้ว่า ตัวเลข GDP ในไตรมาสนี้สะท้อนภาพเศรษฐกิจบิดเบือนจากความกลัวภาษี มากกว่าที่จะบ่งชี้ถึงภาวะชะลอตัวที่แท้จริง หากไม่มีการเร่งนำเข้าสินค้า GDP อาจไม่ได้ติดลบขนาดนี้ หรืออาจขยายตัวเล็กน้อยด้วยซ้ำ
สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ หรือ BEA ยืนยันว่าการสะสมสินค้าคงคลังในภาคเอกชนเป็นปัจจัยชัดเจนในการฉุดตัวเลขลง เช่นเดียวกับข้อมูลการขาดดุลการค้าสินค้าที่พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมีนาคมที่ราว 162,000 ล้านดอลลาร์
แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะออกมาแก้ต่างว่า GDP ที่หดตัวไม่เกี่ยวกับภาษีศุลกากรและกล่าวโทษรัฐบาลไบเดนก่อนหน้า แต่นักเศรษฐศาสตร์ไม่เห็นด้วย โดยมองว่านโยบายภาษีใหม่นี่เองที่เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดภาวะชะลอตัวดังกล่าว
‘ไดแอน สวอนก์’ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก KPMG US ระบุว่า GDP ไตรมาสนี้ถูกกดดันจากผลกระทบที่ไม่ธรรมดาจากภาษี และคาดว่าไตรมาสถัดไปอาจยังหดตัวต่อเนื่อง เพราะภาษีเริ่มกระทบอุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งเป็นแกนหลักของการเติบโต
ในด้านตลาดการเงิน แม้หุ้นจะร่วงลงเล็กน้อยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่โดยรวมตลาดยังคงคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 4 ครั้งในปีนี้ตามแผนเดิม
ขณะที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีนี้ลงเหลือ 1.8% จากเดิมที่ 2.7% และเตือนว่าราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้นจากภาษี อาจกระทบต่อการบริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง และนักวิเคราะห์บางรายมองว่าอาจไม่มีการเติบโตเลยในช่วงที่เหลือของปีนี้










