อย่างที่เรารู้กันว่าหลายประเทศในยุโรปพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หลายชาติในยุโรปประกาศจุดยืนคว่ำบาตรรัสเซีย
ซึ่งหนึ่งในวิธีการคว่ำบาตรก็คือการลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย แต่ดูเหมือนว่าแนวทางนี้จะสร้างวิกฤตพลังงานให้กับชาติในยุโรปเสียแล้ว เพราะรัสเซียเองก็ลดการส่งก๊าซธรรมชาติไปยุโรปเช่นกัน
โดยล่าสุด เยอมนีได้ประกาศนำมาตรการประหยัดไฟออกมาใช้ โดยเมืองต่างๆ ในเยอรมนีเริ่มปิดไฟตามสถานที่ต่างๆ ในตอนกลางคืนแล้ว เช่น ทำเนียบประธานาธิบดีเยอรมนีในกรุงเบอร์ลิน อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ อนุสาวรีย์ต่างๆ
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการปิดน้ำพุ การประกาศห้ามใช้น้ำอุ่นในสระว่ายน้ำและโรงยิม ขณะที่เทศบาลหลายแห่งทั่วประเทศกำลังเตรียมที่หลบภัยเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
หรือย่างอาคารเทศบาลในเมืองหลวงของรัฐ Lower Saxony ก็ถูกำหนดให้สามารถใช้ฮีตเตอร์ได้ในวันที่ 1 ต.ค. – 31 มี.ค. เท่านั้น ที่อุณหภูมิห้องไม่เกิน 20 องศาเซลเซียส ห้ามใช้เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่และเครื่องทำความร้อนด้วยพัดลม
โดยมีเพียงแค่สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานดูแลคนชรา โรงเรียน และโรงพยาบาลเท่านั้นที่ได้รับการยกเว้นจากมาตรการประหยัดพลังงานของเมือง Lower Saxony
และนี่ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ของวิกฤตที่กำลังจะกระจายไปทั่วยุโรป
ทั้งนี้ เยอรมนีมีเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อเตรียมตัวหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดแคลนพลังงานในฤดูหนาวนี้ ซึ่งเป็นสางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศพัฒนาแล้ว
Olaf Scholz ฝ่ายบริหารของนายกรัฐมนตรี กำลังดำเนินการอย่างช้าๆ เพื่อจัดการปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นการหวนกลับมาใช้พลังงานถ่านหิน ซื้อไฟฟ้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้ไฟฟ้าในประเทศ ทำให้คาดว่าความเสี่ยงในวิกฤตพลังงานจะไปไกลกว่าฤดูหนาวนี้
“ความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้นมหาศาล และส่งผลกระทบต่อส่วนสำคัญของเศรษฐกิจและสังคม” โรเบิร์ต ฮาเบ็ค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเศรษฐกิจของเยอรมนี กล่าวหลังจากเปิดเผยแผนอนุมัติให้บริษัทพลังงานคิดค่าธรรมเนียมก๊าซเพิ่มเติมจากผู้บริโภคได้ เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยให้บริษัทเหล่านี้ไม่ล้มละลายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ขณะที่รัสเซียยังมีแนวโน้มที่จะรักษาการส่งออกก๊าซไปยังยุโรปในระดับที่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตราบเท่าที่ความขัดแย้งในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป นั่นเท่ากับว่าปัญหาการขาดแคลนพลังงานในภูมิภาคนี้จะยังคงดำเนินต่อไป
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในเรื่องพลังงานที่เพิ่มขึ้นขะทำให้เกิดแรงกดดันต่อคนยากจน
โดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจโคโลญระบุว่า ชาวเยอรมันประมาณหนึ่งในสี่เข้าสู่ความยากจนด้านพลังงานแล้ว ซึ่งหมายความว่า ค่าใช้จ่ายด้านความร้อนและแสงสว่างนั้นส่งผลต่อความสามารถในต่อการใช้จ่ายอื่นๆ
ขณะที่รัฐบาลกำลังดำเนินการโครงการช่วยเหลือครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดสถานการณ์จะบังคับให้บริษัทพลังงานต้องต่อสู้เพื่อการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลวมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งราคาที่พุ่งสูงขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าวอาจกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ หยุดโรงงานในฤดูหนาวนี้ ส่งผลให้ดีมานด์เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมจะลดลงราว 17%
ไม่ใช่แค่เยอรมนีเท่านั้น ราคาพลังงานที่สูงในปัจจุบัน ทำให้ผู้ผลิตปุ๋ยในสหราชอาณาจักรอย่าง CF Industries ประกาศปิดโรงงานแห่งหนึ่งในประเทศอย่างถาวร
ขณะที่ Cargill ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรอันดับต้นๆ ของโลก ก็ปิดโรงงานแปรรูปเมล็ดพืชน้ำมันในอังกฤษเช่นกัน ในขณะที่ในฝรั่งเศส ซูเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Carrefour และ Monoprix ก็ตกลงที่จะลดการใช้พลังงาน
กองทุนการเงินระหว่างประเทศประเมินว่า เยอรมนีมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียผลผลิตทางเศรษฐกิจ 4.8% หากรัสเซียหยุดการจ่ายก๊าซ
ขณะที่ธนาคาร Bundesbank ประเมินว่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอาจมีมูลค่าสูงถึง 2.2 แสนล้านยูโร แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ เยอรมนีอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเชิงโครงสร้างในอีกไม่ช้า
อ้างอิง:










