ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับสตาร์ทอัพเรียกรถและฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่จากสิงคโปร์อย่าง Grab ที่ล่าสุดประกาศว่าเริ่มเน้นไปที่การทำกำไรแล้ว หลังจากเผาเงินไปเพื่ออัดโปรโมชั่นจนขาดทุนต่อเนื่องมาตลอด
ความเคลื่อนไหวที่ว่ามาจากการแถลงผลประกอบการไตรมาส 2/65 ของ Grab เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา
โดยไตรมาส 2/65 นี้ Grab มี GMV (Gross Merchandise Volume) หรือรายได้จากยอดขายสินค้าและบริการรวม 5,055 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่รายได้ (revenue) อยู่ที่ 321 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 79% ผลจากดีมานด์บริการเรียกรถและฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ยังเพิ่มขึ้น แม้สถานการณ์เงินเฟ้อจะแย่ลงก็ตาม
แต่ไตรมาสนี้ Grab ยังคงขาดทุนสุทธิที่ 547 ล้านเหรียญ แม้จะขาดทุนลดลง 29% จากปีก่อนหน้า แต่ก็ยังมากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่าจะขาดทุน 335 ล้านเหรียญ
นั่นทำให้ในวันนั้น หุ้น Grab ร่วงลงทันที 12-13% ในการซื้อขายในสหรัฐฯ
“เรามั่นใจว่าเราจะสามารถเผชิญกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าได้ เราจะสร้างการเติบโตให้รายได้อย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงเรื่องมาร์จิ้น และเร่งเส้นทางสู่ผลกำไร”
แล้วถามว่า Grab จะทำอย่างไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ว่า
อย่างที่หลายคนทราบดีว่าที่ผ่านมา Grab ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลไปกับการเพิ่มจำนวนไรเดอร์และสร้างฐานลูกค้าผ่านการสร้างแรงจูงใจ (incentive) แก่คนขับ และอัดโปรโมชั่นให้ผู้ใช้งาน ซึ่งนี่เป็นส่วนที่ทำให้ Grab ขาดทุนสะสม
โดยไตรมาส 2 ปีนี้ Grab ก็ยังอัดงบในส่วนนี้เพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายดังกล่าวอยู่ที่ราว 523 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 26%
แม้จะเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากดูจาก GMV หรือรายรับที่มาจากยอดขายและบริการโดยรวมของ Grab ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็มีสัดส่วนน้อยลงเรื่อยๆ
Peter Oey ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน กล่าวว่า “เราคาดว่าระดับค่าใช้จ่ายเพื่อแรงจูงใจจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เราเร่งเส้นทางสู่ผลกำไร”
หมายความว่าจากนี้ต่อไป Grab จะลดต้นทุนที่เป็นค่าอินเซนทีฟสำหรับคนขับ และโปรโมชั่นสำหรับผู้ใช้ลงนั่นเอง
ด้านซีอีโอของ Grab บอกว่า บริษัทวางแผนที่จะมุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยให้ Grab มุ่งเน้นไปที่ลูกค้า ‘มีคุณภาพสูง’ มากขึ้น ซึ่งหมายถึงลูกค้าที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งจูงใจอย่างโปรโมชั่น และเป็นลูกค้าประจำ ใช้บริการ Grab บ่อยๆ
แต่นั่นก็มาจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงคือจำนวนทรานแซคชั่นที่เกิดขึ้นบนแอปฯ ก็จะลดลง
นอกจากนี้ บริษัทก็จะออกจากธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เช่น บริการสั่งซื้อของจากร้านค้าในสิงคโปร์, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ (ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่แกร็บลุยอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เพื่อสู้กับภาวะถดถอยของบริการเรียกรถ) รวมถึงจะชะลอการจ้างงานลงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Grab ก็ยังอาจเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ รวมถึงความต้องการใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ Grab ประเมินว่าจะลดลง เนื่องจากมาตรการโควิดที่ผ่อนคลายมากขึ้นในหลายประเทศ ทำให้ผู้บริโภคออกไปกินอาหารนอกบ้านมากขึ้น สั่งเดลิเวอรี่น้อยลง
ขณะที่ผู้บริโภคอีกส่วนสั่งวัตถุดิบมาปรุงเองมากขึ้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
ความท้าทายอีกส่วนยังมาจากรัฐบาลสิงคโปร์ (ซึ่งตลาดสิงคโปร์สร้างรายได้เป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้รวม Grab) กำลังเตรียมที่จะกระตุ้นแพลตฟอร์มที่เรียกว่า Gig Economy เพื่อให้มั่นใจมากขึ้นให้กับคนงานที่ไม่ได้ถูกจ้างงานเต็มเวลา
ส่งผลให้ Grab ปรับประมาณการ GMV ของทั้งปีนี้ลง โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 21-25% (ซึ่ง 21% เป็นระกับที่ต่ำที่สุด) จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 30-35%
อ้างอิง:










