‘การเริ่มต้นธุรกิจ’ กับ ‘การทำธุรกิจ’ นั้นต่างกัน เปรียบเทียบก็เหมือนตัวเรากับเสื้อผ้าที่ใส่ ถ้าเราตัวใหญ่ขึ้นแต่ไม่เปลี่ยนไซส์ สุดท้ายก็ใส่ไม่ได้ ธุรกิจก็เช่นกัน แต่ละปีโลกเปลี่ยนแปลงเสมอ หากไม่ปรับตัวก็อาจไปต่อไม่ได้
นี่คือแนวคิดของ ‘ระริน ธรรมวัฒนะ’ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Guss Damn Good ที่เชื่อว่า “เริ่มต้นไม่ยาก แต่การทำให้อยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ต่างหากที่สำคัญ”
ปัจจุบัน Guss Damn Good เดินทางมาแล้ว 10 ปีจากจุดเล็กๆ ที่เริ่มต้นด้วยความชอบในไอศกรีม และความตั้งใจอยากให้คนไทยได้ลองรสชาติและเนื้อสัมผัสแบบใหม่ จนกลายเป็นคราฟต์ไอศกรีมแบรนด์แรกของไทย
[ จุดเริ่มต้นที่ ‘บอสตัน’ ]
Guss Damn Good เกิดจากสองเพื่อนซี้ ‘ระริน ธรรมวัฒนะ’ กับ ‘นที จรัสสุริยงค์’ สมัยที่ไปเรียนอยู่บอสตัน สหรัฐอเมริกา ที่ได้ไปกินไอศกรีมกลางหน้าหนาว แล้วเห็นว่าคนต่อแถวเยอะมากจนแปลกใจ
สิ่งที่ทำให้สะดุดตาคือ คนที่นั่นเขาไม่ได้มองไอศกรีมเป็นแค่ของหวาน แต่เป็นเหมือนการแชร์โมเมนต์ กินไป คุยไป ใช้เวลาด้วยกัน มันเลยกลายเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น ซึ่งทำให้ทั้งคู่คิดว่าถ้าเมืองไทยมีอะไรแบบนี้ก็คงดีเหมือนกัน
เพราะถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน เวลาเราพูดถึงไอศกรีม ภาพจำในไทยก็คือไอศกรีมที่ต้องมีท็อปปิ้งโรยเต็มๆ ถึงจะดูน่ากิน ทั้งคู่เลยอยากลองทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิม เป็นไอศกรีมที่เน้นรสชาติ เนื้อสัมผัส และประสบการณ์ที่มากกว่าการกินของหวานธรรมดาๆ
สุดท้ายเลยได้เปิดร้านแรกที่กรุงเทพฯ ที่ขายคราฟต์ไอศกรีม แบบไม่ใส่ท็อปปิ้งอะไรเลย ตอนเปิดใหม่ๆ ขายลูกละ 85 บาท ตอนนี้ปรับมาเป็น 95 บาทแล้ว แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมก็คือความตั้งใจที่จะทำไอศกรีมดีๆ และสร้างโมเมนต์ให้คนได้แชร์กัน
[ ทุกรสชาติมีเรื่องราว ]
วันนี้ Guss Damn Good ไม่ใช่แค่แบรนด์คราฟต์ไอศกรีม แต่คือเรื่องเล่าแห่งรสชาติที่เติบโตขึ้นทุกปี คอลแลปกับหลากหลายแบรนด์ และสร้าง ‘ภาพจำ’ ผ่านรสชาติที่ยังคงสดใหม่อยู่เสมอ
ปัจจุบันเรามีรสชาติมากกว่า 200 รสชาติ บางรสชาติเกิดจากการคอลแล็บร่วมกับศิลปินและแบรนด์ต่างๆ กว่า 100 แบรนด์ และอีกหลายรสชาติก็มาจากไอเดียและประสบการณ์ที่เราอยากถ่ายทอดลงไปในไอศกรีมแต่ละลูก
อีกขั้นของ Guss Damn Good คือการสร้าง ‘คอนเวอร์เซชัน’ ผ่านไอศกรีม เพราะชื่อรสชาติบางรสไม่ได้แค่บอกว่าเป็นรสอะไร แต่ยังสื่ออารมณ์และความรู้สึกได้ด้วย เช่น รสที่ชื่อว่า Don’t Give Up คนที่ได้รับก็จะรู้สึกเหมือนได้รับพลังที่ดี
[ ไม่เคยนิยามความสำเร็จ ]
‘ระริน’ เล่าว่าเราทั้งสองคน ไม่เคยนิยามคำว่าความสำเร็จเอาไว้เลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่การที่ Guss Damn Good อยู่มาได้ถึง 10 ปีจะมองว่าประสบความสำเร็จแล้วก็ได้ เพราะสิบปีที่ผ่านมาเราเติบโตขึ้นทุกปี อย่างปีล่าสุด 2567 เราก็มีกำไรแตะที่ระดับเเตะหลักร้อยล้านบาท
สิ่งที่ทำให้ธุรกิจนี้ไม่ง่ายเลยคือ ไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่เปลี่ยนเร็วมาก เรียกว่าน่าจะไวที่สุดในภูมิภาค อะไรที่ฮิตกันเพียง 3–6 เดือนก็อาจถูกแทนที่ด้วยกระแสใหม่ทันที ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้การทำธุรกิจในไทยยากขึ้นไปอีก
แม้ตลาดจะเปลี่ยนไว ลูกค้าหลักของ Guss Damn Good ก็ยังเป็นคนไทยเกือบ 100% แม้จะเริ่มมีชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นบ้าง และนี่เองที่กลายเป็นจุดแข็ง เพราะแม้คนไทยจะขึ้นชื่อว่าขี้เบื่อ
แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์อยู่ได้ยาวนานก็คือ ลูกค้ามอง Guss Damn Good เป็น ‘คอมฟอร์ตโซน’ ของตัวเอง เพราะไม่ใช่ไอศกรีมที่หากินได้ทั่วไป หากแต่เป็นประสบการณ์พิเศษที่คุ้มค่าที่จะจ่าย
[ ขยายสาขา เปิดแบรนด์เพิ่ม ]
‘นที’ เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ Guss Damn Good มีทั้งหมด 20 สาขา และกำลังจะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาภายในปีนี้ ที่แรกคือฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ส่วนอีกแห่งยังอยู่ระหว่างตัดสินใจ
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายรูปแบบใหม่ๆ เช่น เข้าไปอยู่ในห้างหรือร้านสะดวกซื้อ ในเวอร์ชันที่ไม่ใช่ไอศกรีมตักแบบเดิม อาจได้เห็นกันปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
รวมถึงการแตกแบรนด์ใหม่ อย่าง ‘Adam n Eve’ ไอศกรีมสายสุขภาพเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น ปีหน้าก็มีแผนจะเร่งขยายสาขาแบรนด์ลูกให้เติบโตใกล้เคียงกับ Guss Damn Good และอาจจะมีแบรนด์ใหม่ๆ ตามมาอีก
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เราหันมาโฟกัสเรื่อง ‘การสร้างแบรนด์’ อย่างจริงจังมากขึ้น และมองไปข้างหน้าว่าจะขยายสาขาไปยังหัวเมืองใหญ่อย่างภูเก็ตและหาดใหญ่ รวมถึงเริ่มสนใจการเปิดสาขาในต่างประเทศด้วย
สุดท้ายนี้ Guss Damn Good คงเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ตัวอย่างที่หลายคนสนใจ ไม่ใช่แค่เพราะรสชาติไอศกรีมที่อร่อยอย่างเดียว แต่เพราะแนวคิดการทำธุรกิจที่ชัดเจนว่าการอยู่ต่อให้ได้สำคัญกว่าการเริ่มต้น










