ดราม่าวงการสตรีมมิ่งวันนี้เกิดขึ้นที่ HBO Max สตรีมมิ่งมาแรงที่ไม่เปิดใช้งานในไทยเต็มตัว แต่เข้ามาในรูปแบบ HBO Go
เรื่องราวก็คือ HBO Max ไล่ทุบ และยกเลิกโปรเจกต์หนังและซีรีส์รวมกันเป็นหลักสิบเรื่อง เช่น Batgirl ในจักรวาล DC, Moonshot, Superintelligence, The Witches (รีเมค) เป็นต้น สร้างความฉงนให้กับแฟนๆ ค่าย Warner Bros. Discovery (บริษัทเจ้าของ HBO Max) อย่างมาก
การกระทำที่ดูเหมือนทุบหม้อข้าวตัวเองนี้ เป็นแนวทางของซีอีโอคนใหม่ David Zaslav ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ คือทำตัวเลขการเงินให้สวย ลดค่าใช้จ่าย และภาระทางภาษี ซึ่งต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดของสตรีมมิ่งคือการลงทุนทำคอนเทนต์นั่นเอง
อีกเรื่องสำคัญที่จะเกิดขึ้นคือ HBO Max กับ Discovery+ สตรีมมิ่งในเครือหลังคา Warner Bros. Discovery จะรวมร่างกันและใช้ชื่อใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลกันในปีหน้า ซึ่งจะยังดูแบบมีโฆษณาเหมือนเดิม โดย HBO Max ตอนนี้มีค่าบริการที่ 10 ดอลลาร์ต่อเดือน
ซึ่งถ้ารวมตัวเลขผู้ใช้ทั้งสองด้วยกันจะเป็น 92 ล้านราย ซึ่งจะขึ้นแท่นเป็นสตรีมมิ่งอันดับ 3 ทันทีในแง่ผู้ใช้งาน รองจาก Netflix (220.67 ล้านราย), Disney+ (137.7 ล้านราย)
สิ่งที่ทำให้แฟนๆ ตั้งคำถามกับแนวทางใหม่ HBO Max เพราะก่อนหน้านี้ ภายใต้การนำของซีอีโอคนเก่า Jason Kilar นั้น HBO Max มีความ aggressive ในการทำสตรีมมิ่ง ช่วงโควิด-19 ก็ประกาศนำหนังใหม่ชนโรง มาลงสตรีมมิ่งพร้อมกันในวันเดียวกัน เพื่อเป็นทางเลือกในวันที่การเข้าโรงหนังทำได้ยากลำบาก
นอกจากนี้ การยกเลิกโปรเจกต์สร้างหนังก็แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็นในวงการฮอลลีวู้ด ในกรณีส่วนใหญ่ หนังที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังด้านครีเอทีฟโฆษณา หรือการเงินของสตูดิโอ ก็จะถูกขายไปยังแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง หรือฉายในโรงเงียบๆ โดยไม่มีแคมเปญทางการตลาด
ดังนั้น ที่ Warner Bros. ทำจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่ และต้องไม่ลืมว่า สถานะของ Warner Bros. ไม่ใช่แค่เจ้าของสตรีมมิ่ง แต่ยังเป็นสตูดิโอสร้างหนังรายใหญ่ด้วย
วันนี้ ยังเป็นวันแรกที่ Warner Bros. Discovery แถลงผลประกอบการภายใต้ชื่อบริษัทใหม่ที่รวบตัวกันระหว่าง Warner Media และ Discover เมื่อต้นปีที่แล้ว โดยรายได้ไตรมาสสองปี 2022 อยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ขาดทุนสุทธิ 3.4 พันล้านดอลลาร์
เมื่อมาดูอาณาจักรของ Warner Bros. Discovery พบว่าครอบคลุมแบรนด์สื่อที่เรารู้จักหลายแบรนด์คือ HBO, Discovery, CNN, DC, Looney Tunes

ในการแถลงยังมีแผนจะเปิดตัวบริหารในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยคือในละตินอเมริกา 39 ประเทศ, ยุโรป 20 ประเทศ, เอเชียแปซิฟิก 7 ประเทศ และตลาดใหม่ 4 ประเทศ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีไทยรวมอยู่ในนี้ด้วยหรือไม่

ที่มา : NBC, The Verge, Warner Bros. Discovery, Blognone










