ทำไม HOTPOT MAN คนยังรอคิวแน่น แม้กระแสหม่าล่าหมดแล้ว

ทำไม HOTPOT MAN คนยังรอคิวแน่น แม้กระแสหม่าล่าหมดแล้ว

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ภาพที่คนต่อแถวรอคิวทานหม่าล่าหม้อไฟน่าจะเป็นอะไรที่หลายคนคุ้นเคยกันดีจากความแปลกใหม่ของหม่าล่า

แต่ในปี 2025 นี้ภาพนั้น อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะต้องยอมรับว่าหม่าล่าไม่ได้เป็นอะไรที่ดูใหม่สำหรับคนไทยอีกแล้ว

รู้ไหมว่ากลับมีแบรนด์ชื่อว่า HOTPOT MAN หม้อไฟหม่าล่าเจ้าหนึ่ง สามารถสวนกระแสนี้ได้ เพราะยังมีคิวแน่น ๆ หลักร้อยคิวให้เห็นกันเป็นเรื่องปกติในหลายสาขาตอนนี้

HOTPOT MAN ทำได้อย่างไร ? TODAYBizview จะชวนทุกคนมาวิเคราะห์เรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน 

– สำหรับคนที่ไม่รู้จัก HOTPOT MAN คือร้านบุฟเฟต์หม่าล่าหม้อไฟที่มีวัตถุดิบสไตล์จีน อย่างเช่น ไส้เป็ด, ลูกชิ้นกุ้ง และเนื้อวัวส่วนต่างๆ ให้ลูกค้าสั่งได้ไม่อั้นในราคาหัวละ 299 บาท ไปจนถึงหัวละ 499 บาท 

โดยลูกค้าจะสามารถเลือกได้ 9 น้ำซุป และสามารถเพิ่มน้ำซุปที่เป็นหม่าล่าได้เริ่มต้นในราคาเริ่มต้นหม้อละ 99 บาท

 ตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า HOTPOT MAN ก็ดูจะเป็นร้านหม่าล่าหม้อไฟธรรมดา ๆ แค่มีวัตถุดิบสไตล์จีนๆ ทำไมถึงประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ ? 

คำตอบอาจจะต้องแบ่งเป็น 2 ประเด็น คือเรื่องของ “การวาง Position” และ “วิธีการโปรโมต” ที่ค่อนข้างน่าสนใจ และแตกต่างจากหม่าล่าแบรนด์อื่นๆ ในตลาด พอสมควร

เริ่มจากวิธีการโปรโมต   

HOTPOT MAN จะมีการโปรโมตด้วย Free Media ของตัวเองผ่านคลิปไวรัลบนช่องทาง TikTok เป็นส่วนมาก 

ที่บอกว่าเป็น Free Media เพราะคนทำคอนเทนต์โปรโมตแบรนด์ส่วนใหญ่จะเป็น “ตัวเจ้าของร้านเอง” ผ่านบัญชี TikTok 2 บัญชี ได้แก่ 

        • TikTok บัญชี jayandyui มีผู้ติดตาม 927,600 คน มียอดไลก์ รวมกัน 104.7 ล้านครั้ง 
        • TikTok บัญชี hotpotman26 มีผู้ติดตาม 66,000 คน มียอดไลก์ รวมกัน 11.5 ล้านครั้ง 

พอเป็น Free Media ที่แบรนด์สามารถควบคุมทั้งเนื้อหาและคุณภาพของคอนเทนต์ได้ด้วยตัวเองทั้งหมด เลยทำให้ HOTPOT MAN มีอิสระในการทำคอนเทนต์มากๆ แถมยังช่วยให้ HOTPOT MAN แทบไม่ต้องเปลืองไปงบจ้างอินฟลูเอนเซอร์ดัง ๆ มาโปรโมตร้านเลย 

โดยแนวทางที่ HOTPOT MAN ใช้เล่าเรื่องจะเป็น “Brand Storytelling” ผสมกับการทำ “CEO Branding”

ด้วยการทำคอนเทนต์แนวเล่าเรื่องความเป็นมาของแบรนด์ ว่าที่ผ่านมาธุรกิจต้องเจออะไรบ้าง มีอุปสรรคตรงไหน ? รวมไปถึงเรื่องราวชีวิตประจำวันของ “พ่อเจ” และ “แม่ยุ้ย” ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์ 

ยกตัวอย่างเช่น 

        • คลิปเล่าความเป็นมาของร้าน 
        • คลิปดูแลลูกค้าฟีลแฟน 
        • คลิปสอนกิน HOTPOT MAN สไตล์แม่ยุ้ย 
        • คลิปชวนคนมากินเมนู “โจ๊ก ปาเป่า” ที่ไม่ค่อยมีคนสั่ง 
        • รีวิวชีวิตคู่ ของ “พ่อเจ” และ “แม่ยุ้ย” 

ซึ่งทั้งหมดจะมี “ความเรียล” และ “ความสนุก” แถมยังสามารถโปรโมตแบรนด์ ได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้หลาย ๆ คลิป กลายเป็นไวรัลช่วยสร้างการรับรู้ให้แบรนด์แบบมหาศาล ที่สำคัญคือ “ฟรี” 

ต่อมาคือการวาง Position ของแบรนด์ให้แตกต่างจากคู่แข่ง 

ถ้าตัดเรื่องวัตถุดิบ และรสชาติ รวมไปถึงบรรยากาศร้าน ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวออกไป 

จะเห็นได้เลยว่าความเจ๋งจริง ๆ ของ HOTPOT MAN คือ Position ของร้านที่จะเน้น “ความคุ้มค่า” และ “บริการ” ซึ่งยังไม่ค่อยมีแบรนด์ไหนในตลาดทำ

เพราะถ้าลองดูโมเดลร้านหม่าล่าหม้อไฟในไทยหลายๆ ร้าน ส่วนใหญ่แล้วจะมีการวาง Position ไว้หลัก ๆ 2 แบบ

อย่างแรกคือวาง Position ให้เป็น “แบรนด์พรีเมียม” ไปเลย โดยร้านหม่าล่าหม้อไฟหม่าล่าประเภทนี้ จะเน้นไปที่ความพรีเมียมของวัตถุดิบ หลายๆ ร้าน มีเนื้อ A5, กุ้งแม่น้ำ, หอยเชลล์ และวัตถุดิบพรีเมียมอื่น ๆ ให้บริการลูกค้า 

แถมยังมีการตกแต่งร้านสวยงาม และบริการแบบ “Full-Service” คือลูกค้านั่งเฉยๆ แล้วจะมีพนักงานคอยเติมน้ำ, เติมน้ำจิ้มตลอดเวลา โดยไม่ต้องลุก 

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วร้านแนวนี้จะขายในรูปแบบของ A La Carte คือให้ลูกค้าสั่งอาหารเป็นจานๆ เช่น ร้าน SHU DAXIA, CQK และ Haidilao

อย่างต่อมาแบรนด์ที่วางตัวเองให้เน้น “ความคุ้มค่า”  ร้านแนวนี้จะเน้นขายเป็น “บุฟเฟต์” ให้ลูกค้าทานอาหารได้ไม่อั้น แต่เรื่องของวัตถุดิบพรีเมียมอาจจะไม่ได้มีให้ลูกค้าเลือกเยอะมาก 

แถมในเรื่องบริการจะมีบางพาร์ต เช่น เครื่องดื่ม หรือ น้ำจิ้มที่จะให้ลูกค้าบริการตัวเอง 

โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะเห็นร้านหม่าล่าหม้อไฟที่วางตัวเองตรงนี้เป็นร้านหม่าล่าหม้อไฟสายพาน หรือ ร้านสุกี้-ชาบู ที่มีน้ำซุปหม่าล่าให้บริการ เช่น สุกี้จินดา, อี้จาสุกี้หม่าล่า และอีกหลาย ๆ ร้าน 

ตัดมาที่ HOTPOT MAN จะเป็นร้านที่วางตัวเองไว้ตรงกลาง คือมีทั้งความคุ้มค่า ในขณะที่การบริการจะเหมือนในร้านพรีเมียม ทำให้ได้ลูกค้าที่อยากได้ความคุ้มค่า และต้องการบริการแบบฟรีเมียม มีโอกาสจะนึกถึงแบรนด์นี้ได้เป็นตัวเลือกแรก ๆ นั่นเอง

สุดท้ายนี้หลาย ๆ คนน่าจะเห็นภาพชัดเจนแล้วว่าทำไม HOTPOT MAN ถึงเป็นร้านหม่าล่าหม้อไฟที่สามารถยืนระยะได้นาน แม้กระแสหม่าล่าจะเบาลงมาก ๆ แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็สะท้อนออกมาให้เห็นผ่านผลประกอบการของ บริษัท ฮอตพอตแมน กรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้าน HOTPOT MAN ที่มีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ 

        •  ปี 2566 รายได้ 80 ล้านบาท กำไร 1 ล้านบาท
        • ปี 2567 รายได้ 245 ล้านบาท กำไร 9.3 ล้านบาท
แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAY BizviewWriterTODAY Bizview
TODAY Bizview by workpointTODAY
ข่าว สาระ ความรู้ ด้านธุรกิจในประเทศและต่างประเทศที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง