ทุกคนมีปัญหาทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานกันทั้งนั้นแหละครับ จริงไหม
และแน่นอน มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่เก่งพอ และสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง หรือ สามารถครองสติมองปัญหานั้นได้อย่างกระจ่างชัด และแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อปัญหานั้นเกิดขึ้นโดยตรงกับตัวเอง และแน่นอนเมื่อมันเป็นปัญหาของตัวเองเมื่อไร เราย่อมมองมันไม่ขาด และไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเวลาที่เราแนะนำคนอื่นๆ
น่าแปลกนะครับ เมื่อปัญหาประชิดตัวเรา เรากลับแก้ปัญหาไม่เก่ง เท่ากับเวลาปัญหาไปรุกรานคนอื่น คุณเคยสงสัยไหมครับว่าทำไม…
อัตตา ตัวตน ความรักตัวเอง ความลำเอียงเข้าข้างตนเอง วิธีคิด และพื้นฐานที่ทำให้เราเป็นเรานี่แหละครับ ทำให้เรามองปัญหาบิดเบี้ยว เมื่อมันเกิดขึ้นกับเรา
ผมเลยอยากชวนให้หลายๆ ท่านที่กำลังอ่านอยู่นี้ ลองคิดแบบใจเขาใจเรา เวลาที่มีใครสักคนในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่เจ้านาย เดินมาปรับทุกข์หรือปรึกษาเราว่าเราควรตั้งรับหรือมีจุดยืนอย่างไร
เพื่อให้เราสามารถช่วยเขาได้ในแบบที่เขาจะไม่ทุกข์ใจไปกว่าเดิม และเราไม่ได้กระโจนลงไปในบ่อน้ำแห่งปัญหานั้นด้วยกัน กอดคอกันจมลงก้นบ่อไป หรือกลายเป็นว่าเขาไม่กล้ามาเล่าอะไรให้คุณฟังอีก
สิ่งที่ต้องมีก่อนเลยก็คือความพร้อมในสามเรื่อง ‘พร้อมทางเวลา’ คือมีเวลาที่เหมาะสมในการพูดคุยรับฟังอย่างตั้งใจ
ตามมาด้วย ‘การพร้อมรับฟัง’ แบบที่ไม่ได้อยากเผือก เพื่อเมาท์ต่อ ฟังเพราะเราอยากเข้าใจ และต่อมาคือ ‘พร้อมที่จะไม่ตัดสิน’ เอาเท่านี้ก่อน
เมื่อเราพร้อมแล้ว ได้ฟังเรื่องราวแล้ว ระวังสักนิดก่อนที่จะพูดประโยคเหล่านี้ครับ
- “สู้ๆ นะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” การพูดอะไรทำนองนี้ แม้จะฟังดูเป็นบวก แต่มันอาจจะไม่ต่างกับเวลาเราเจอเพื่อนที่กำลังหิวโซ แล้วเราบอกเขาว่า “อดทนนะ…เดี๋ยวก็มีอาหารลอยมาเองแหละ”
ประโยคทำนองนี้มันเหมือนจะให้กำลังใจ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ช่วยคนฟังอะไรเท่าไรเลย ตรงกันข้ามมันอาจจะช่วยให้คนพูดรู้สึกดีที่ได้พูดปลอบใจใครสักคน แต่สำหรับคนฟัง เขาแทบไม่ได้รู้สึกว่าเขาได้อะไรเท่าไร
ลองคิดดูดีๆ สิครับ คนกำลังอยู่ในปัญหา ท้อ ล้า แล้วมาเจอการส่งกำลังใจแบบสำเร็จรูป แล้วจากไป “แล้วทั้งหมดที่ฉันระบายไปเมื่อกี้ล่ะ….”
มันอาจจะยิ่งทำให้คนที่เขาไว้ใจเล่าให้เราฟัง รู้สึกด้อยค่าลงไปกว่าเก่าด้วยซ้ำ เพราะเหมือนว่าเขาไม่ได้เล่าอะไรไปเลย และเราเองก็ไม่ได้รับฟังอะไรเลย
- “โอ๊ยยยย ของแบบนี้ ง่ายจะตาย ทำแบบนี้สิ…”
“ถ้ามันง่ายดาย มันจะเป็นปัญหาสำหรับใครบางคนหรือครับ” ผมขอถามกลับแค่นี้
ถ้าคุณฟังเรื่องทั้งหมดด้วยใจ และจับประเด็นได้ทั้ง ‘Emotion’ และ ‘Logic’ ของผู้เล่า คุณไม่ควรพูดว่าอะไiง่ายหรือยาก เพราะกลับไปตอนต้นที่ผมชวนคิดว่า ใครอยู่ในปัญหา สิ่งนั้นกำลังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเสมอ
มันอาจจะง่ายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเขามันยังยากอยู่ไงครับ ดังนั้น เมื่อเรารับฟังแล้ว อย่าไปด่วนสรุปด้วยความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง
และการบอกให้ใครทำอะไรในแบบฉบับของคุณ มันอาจจะช่วยแก้ได้ครับ แต่เอาจริงๆ มันไม่ต่างอะไรกับการที่คุณยื่นยาแก้ปวด 1 เม็ด ให้คนป่วย โดยหวังว่ายาแก้ปวดนั้นจะออกฤทธิ์ครอบจักรวาล
ทั้งๆ ที่คุณเพิ่งรู้ว่าเขาป่วย และเผลอๆ อาการยังออกมาไม่หมดด้วยซ้ำ แต่คุณกลับกำลังบอกเขาว่ามันเป็นเรื่องเล็ก
- “ผมเข้าใจคุณ 100% ผมเจอปัญหาเหมือนคุณมาก่อน”
อันนี้อาจจะไม่ได้ถึงขั้นเลวร้ายหรือไม่เหมาะสม แต่อยากชวนคิดแบบนี้ครับว่า เอาจริงๆ จากเรื่องราวที่เรารับฟังปัญหาของใคร มันเป็นไปได้จริงๆ หรือครับ ที่ปัญหาของเขาและของเราจะเหมือนกัน 100% และเราเองก็เข้าใจเขาได้ 100%
เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ แบบนี้ครับ เสื้อผ้าไซส์เดียวกัน สีเดียวกัน ตัดออกมาจากร้านเดียวกัน พอคนละคนมาลองเอามาใส่ แม้จะรูปร่างคล้ายกัน มันยังออกมาดูแล้วไม่เหมือนกันเลยครับ ให้เห็นภาพง่ายๆ แค่นี้
การใช้คำว่า ‘เข้าใจ’ มันดีครับ แต่ต้องระวัง คือเราต้องไม่ลืมว่าเมื่อปัญหาเกิดขึ้น มันมี 3 ส่วนที่เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ คือ ตัวปัญหาเอง ผู้ที่กำลังเผชิญปัญหา และความสามารถในการมองและแก้ไขปัญหา
เราไม่สามารถการันตีได้เลยว่า เรื่องที่เขากำลังระบายนี้จะมีทั้ง 3 ส่วนที่ ‘เหมือน’ กับสิ่งที่เราเคยเจอ ปัญหาที่เกิดเหมือนกันจริงหรือ คนที่กำลังมานั่งรับทุกข์นี้เขาเหมือนเราหรือ และความสามารถในการมองหรือ แก้ปัญหา (เมื่อมันมาเป็นปัญหาของตัวเอง) เหมือนกันจริงๆ หรือ
ดังนั้น ต้องไปไม่กระโจนลงไปด่วนสรุปว่าเราเข้าใจ เพราะความเข้าใจของเรา มันเกิดจากการมองปัญหาในแบบของเรา เข้าใจในแบบของเรา
แต่เขาอาจจะอ่อนแอกว่าในบางเรื่อง อ่อนไหวกว่าในบางเรื่อง รวมไปถึงปัญหาที่กำลังเจอนั้นอาจจะแค่คล้าย แต่ใหญ่กว่าปัญหาของเรามากมายก็ได้
ถ้าผมจะแนะนำ เมื่อคุณได้เจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือแบบนี้ จงรับฟังอย่างตั้งใจ และพูดเมื่อจำเป็น และอย่ารีบไปบอกว่าปัญหาของเขาคนนั้นสามารถแก้ได้ด้วยยาวิเศษอันนี้ หรือจับใส่หมวดหมู่เดียวกันกับปัญหาที่คุณเคยเจอ
เบื้องต้น ลองปรับคำพูดของคุณดู เช่น
“พี่พอนึกออก ว่าน้องกำลังเจออะไร อาจจะไม่เข้าใจได้ทั้งหมด แต่ก็พอรู้ได้ว่ากำลังเผชิญอะไรอยู่”
“จากที่ได้ฟังเรื่องที่เล่ามา พอจะให้ผมช่วยอะไรได้บ้างไหมครับ”
“อยากให้กำลังใจ เพราะฟังดูแล้วเรื่องที่กำลังเจอ ไม่ง่ายนัก แต่อยากบอกว่าเรายินดีรับฟังเสมอ และ พร้อมจะช่วยถ้าเราพอจะช่วยได้”
ลองดูเพียงเท่านี้ก่อน และผมเชื่อว่าการฟังและการเลือก Word choice ที่ดี จะช่วยให้ทั้งผู้เล่าเรื่อง และตัวเราเอง สามารถบรรเทาความหนักหน่วงของปัญหาไปได้ไม่มากก็น้อย










