ยุคนี้ธุรกิจร้านอาหารปรับกลยุทธ์ 3 เดือน 1 ครั้งอาจช้าไป Hungry Hub แนะ ร้านต้องเปลี่ยน ‘วันละ 3 ครั้ง’

ยุคนี้ธุรกิจร้านอาหารปรับกลยุทธ์ 3 เดือน 1 ครั้งอาจช้าไป Hungry Hub แนะ ร้านต้องเปลี่ยน ‘วันละ 3 ครั้ง’

ธุรกิจ

สถานการณ์การจับจ่ายของคนไทยและคนทั่วโลกตอนนี้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ธุรกิจมากมายค่อยๆ ล้มหายจากไปเกือบทุกวัน ขณะที่ภาคธุรกิจอย่าง ‘ร้านอาหาร’ ก็ยิ่งต้องปรับตัวให้ทันเหตุการณ์ เพราะมีเจ้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดทุกวันเช่นกัน คำถามคือ ธุรกิจร้านอาหารต้องปรับกลยุทธ์มากแค่ไหนถึงจะอยู่รอดในยุคนี้?

[ ยุคนี้ต้องปรับกลยุทธ์ร้านอาหารบ่อยขึ้น ]

สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Hungry Hub ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันมีจำนวนร้านอาหารและโรงแรมที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Hungry Hub มากกว่า 2,500 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 1,700 ร้าน ส่วนหนึ่งเพราะว่าเศรษฐกิจที่เลวร้ายขึ้น ทำให้ร้านอาหารต้องปรับตัว

เขายังบอกด้วยว่า “ปีหน้าคิดว่าเศรษฐกิจจะยังแย่เหมือนเดิม อยู่ที่ร้านอาหารว่าจะปรับตัวหรือไม่ ปีหน้าผมคิดว่าร้านพาร์ทเนอร์บนแพลตฟอร์มจะเพิ่มเป็น 4,000 ร้าน ซึ่งเครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยให้ร้านอาหารเพิ่มยอดขายได้บน Hungry Hub ก็พร้อมแล้ว”

นอกจากนี้ สุรสิทธิ์ ได้แนะนำว่า จากเมื่อก่อนที่ร้านอาหารมักจะปรับกลยุทธ์ธุรกิจประมาณ 3 เดือนเปลี่ยนครั้ง ตอนนี้คงไม่ทันการแล้ว ร้านอาหารควรต้องปรับกลยุทธ์ให้บ่อยขึ้น แนะนำว่าวันละ 3 ครั้งปรับตามดีมานด์ ตามสถานการณ์ และจังหวะ อาจจะดีต่อยอดขายมากกว่า

“ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ Hungry Hub เพิ่มเข้ามา หวังว่าจะทำให้โลกของการตัดสินใจของลูกค้าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น เพื่อให้ลูกค้าและร้านอาหารเปลี่ยนได้ตรงกัน พอดีกัน”

[ สรุปฟีเจอร์ใหม่น่าสนใจ เครื่องมือกระตุ้นยอดขายร้าน ]

เป้าหมายใหญ่ของ Hungry Hub ยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่แรก คือ การเป็น Online Travel Agent (OTA) สำหรับร้านอาหารระดับโลก ดังนั้น มาดูกันว่ามีอะไรใหม่ๆ จาก Hungry Hub บ้าง ซึ่งมี 2 ฟีเจอร์ใหม่ ดังนี้

1) Multi-currency (ฟีเจอร์การแสดงผลหลายสกุลเงิน) คือ นักท่องเที่ยวจะเห็นภาษาและราคาในสกุลเงินของตัวเอง ซึ่งตอนนี้บนแอปพลิเคชั่นมีให้บริการ 14 สกุลเงินด้วยกัน นอกจากจะทำให้การตัดสินใจในการจองสะดวกขึ้น พวกเขาไม่ต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอง หรือเปลี่ยนเว็บไปมาเพื่อเช็คราคากับสกุลเงินท้องถิ่น

2) Dynamic Pricing (ฟีเจอร์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น) คือ เจ้าของร้านสามารถตั้งราคาได้ตามดีมานด์ของลูกค้า เช่น ตั้งราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่นั่ง (เช่น ทุก 10 ที่นั่ง เพิ่ม 5%) หรือการปรับราคาในช่วงเทศกาล (เช่น วาเลนไทน์, สงกรานต์) หรือแม้แต่การปรับราคาลง เช่น วันฝนตกหนักที่ร้านอาจจะมีลูกค้าแค่ 10 ที่นั่ง ก็สามารถลดราคาดึงดูดลูกค้าเข้ามาเพิ่มได้

สุรสิทธิ์ อธิบายว่า “ปกติจะเป็นโรงแรมหรือสายการบินที่ทำการตลาดแบบนี้ แล้วร้านอาหารทำไมถึงทำบ้างไม่ได้? การปรับเพิ่มราคาตามเทศกาลต่างๆ คล้ายกับการขายบัตร Early Bird เรารู้อยู่แล้วว่าจะมีเทศกาลอะไร และมีดีมานด์มากขึ้นเท่าไหร่ ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ร้านอาหารขายได่เร็วขึ้น คนจองล่วงหน้าเยอะขึ้น”

“แม้แต่ร้านมิชลินที่จองยากๆ ทำไมเราต้องขายราคาเท่ากัน ทั้งที่ลูกค้าจองล่วงหน้าได้ ผ่าน Hungry Hub และร้านก็สามารถปรับขึ้น และเปิดจองล่วงหน้าในราคาที่ดึงดูดได้เหมือนกัน”

สำหรับฟีเจอร์ Dynamic Pricing ที่จะเปิดบริการในเดือนธันวาคมนี้ จะมีเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยร้าน เช่น แนะนำการปรับราคา โดยเจ้าของสามารถเลือกได้ว่า จะให้ AI ปรับราคาอัตโนมัติ หรือให้เจ้าของร้านเป็นผู้อนุมัติเท่านั้น

ฟีเจอร์อื่นๆ ที่เปิดตัวไปแล้ว และร้านอาหารน่าจะเพิ่ทยอดขายได้เช่นกัน อย่างเช่น

D.I.Y Set อีกฟรีเจอร์ที่ยืดหยุ่นสำหรับทั้งลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้ร้านได้ มาจาก pain point เช่น ร้าน rooftop ที่ลูกค้าอาจจะสั่งแค่เครื่องดื่มคนละแก้วแต่นั่งนานนั่งแช่ ขณะเดียวกันลูกค้าก็ไม่กล้าสั่งอะไรเยอะเพราะราคาสูง ฟีเจอร์นี้สามารถปรับเปลี่ยนเมนูเองได้ ตามเงื่อนไขราคาขั้นต่ำที่ต้องจ่ายเพื่อความแฟร์ทั้งคู่

Add-on อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มาจาก pain point ลูกค้า บางทีอาจจะลืมสั่งเค้ก, ดอกไม้ หรือ อยากเพิ่มแอลกอฮอล์เพราะถ้ามาสั่งที่ร้านราคาอาจจะชาร์จแพงมากกว่า ฟีเจอร์นี้เกิดขึ้นเพราะต้องการเป็น full dining experience ให้กับลูกค้า

Analytics & Benchmarking ฟีเจอร์ที่จะเข้ามาช่วยร้านอาหารโดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นการโชว์ภาพรวมของร้านอาหารอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่ไม่ใช่การเปิดเผย ‘ยอดขายคู่แข่ง’ คล้ายการ recap ภาพรวมร้านอาหารเทียร์เดียวกัน เพื่อให้เจ้าของร้านปรับกลยุทธ์ได้ทันสถานการณ์

[ ปีหน้าบุกมาเลเซีย หลังรุกสิงคโปร์สำเร็จ ]

ปี 2024 ที่ผ่านมา Hungry Hub ได้ขยายตลาดไปยังสิงคโปร์ ภายในปีเดียวสามารถขยายพันธมิตรร้านอาหารเป็น 250 ร้านค้า โดยคาดว่าปิดปลายปีนี้น่าจะสร้างยอดขายให้ร้านอาหารในสิงคโปร์ได้ถึง 20 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทปีหน้า

สุรสิทธิ์ เผยด้วยว่า ฟีดแบ็กในสิงคโปร์ถือว่าดี จากยอดขายต่อเดือนที่โต 1 ล้านบาทสำหรับร้านอาหารท็อปๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Hungry Hub

โดยตลาดเติบโตเฉลี่ย 30-50% ต่อเดือน ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมายังไม่มีโตน้อยกว่า 20%

แผนที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ก็คือ ช่วงปลายปีนี้จะขยายตลาดไปที่ ‘มาเลเซีย’ อย่างจริงจัง หลังจากที่เริ่มไปบ้างแล้ว ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรร้านค้าแล้วประมาณ 50 ร้าน ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารในโรงแรมชั้นนำในกัวลาลัมเปอร์

“ปีหน้าเราจะขยายไปอีก 2-3 ประเทศ ซึ่งอยากจะดูผลตอบรับจากมาเลเซียก่อนแล้วเทียบกับสิงคโปร์ การขยายตลาดต่างประะเทศถือเป็นการสร้างความแกร่งให้กับธุรกิจ ขณะเดียวกัน การเข้ามาจอย Hungry Hub ไม่มีค่าแรกเข้า (คุณจะเสียเงินต่อเมื่อคุณได้ลูกค้า)”

“ธุรกิจร้านอาหารน่าจะเป็นอุตสาหกรรมเดียวที่ไม่มีตัวช่วยในการเพิ่มลูกค้า เช่น ร้านในโรงแรมที่ต้องทำการตลาดเพื่อทางรอดตัวเอง แต่ร้านเล็กๆ อย่างน้อยก็มีแพลตฟอร์มเดลิเวอรีช่วยร้านค้าอยู่”

[ ก่อนโฟกัสลูกค้า ต้องสร้างทางรอดให้ร้านค้าก่อน ]

เรื่องการทำธุรกิจสำหรับ สุรสิทธิ์ มีแค่ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ อย่างครั้งแรกที่เริ่มทำธุรกิจ Hungry Hub ก็เกือบจะเจ๊งมาแล้วเพราะตอนนั้นการดำเนินกิจการยังเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก เน้นให้ส่วนลด ดึงลูกค้าเข้าร้านเยอะๆ แต่สุดท้ายร้านค้าพาร์ทเนอร์ก็แทบไม่มี ‘มาร์จิน’ (กำไรที่หักต้นทุนสินค้าแล้ว)

“สร้างความยั่งยืนให้ร้านก่อน คือ บทเรียนที่ได้จากการทำธุรกิจแล้วเกือบล้มละลาย” 

ปัจจุบัน Hungry Hub มียอดผู้ใช้งาน (active users) ประมาณ 1.2 ล้านคน ยอดใช้จ่ายต่อบิลยังอยู่ที่ประมาณ 1,100 บาทต่อคน (เท่ากับปีก่อน)

Hungry Hub ช่วยเพิ่มยอดขายจากลูกค้าต่างชาติให้ร้านค้าได้มากขึ้น จากเดิมที่มีไม่ถึง 2% โดยปีนี้กว่า 100 ร้านอาหารในไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวมากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน จากความสำเร็จที่มีคนต่างชาติเปิดแพลตฟอร์ม Hungry Hub ก่อนมาประเทศไทยเกือบ 300,000 คนต่อเดือน และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สุรสิทธิ์ เผยว่าการเติบโตในเชิงยอดขายของร้านอาหารบน Hungry Hub โตเฉลี่ยระหว่าง 20-2,000% แบบเทียบปีต่อปี (YOY)

Hungry Hub ถือคติ “ร้านรอด=เรารอด” มาตลอด ก็น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมปีนี้ สุรสิทธิ์มองว่าธุรกิจจะมีกำไร 20 ล้านบาท จากรายได้แตะ 110 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีรายได้ 90 ล้านบาท

ส่วนปีหน้าผลพวงที่มาจากการขยายไปตลาดต่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของร้านค้าทั้ง 3 ประเทศ ไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย น่าจะทำให้ Hungry Hub โตขึ้นไปเรื่อยๆ ราว 40-50% ทั้งในแง่รายได้และกำไร

“รายได้หลักของ Hungry Hub 90% ยังอยู่ที่ค่าคอมมิชชั่น คือ 12% ส่วนอีก 10% อยู่ที่มีเดียที่ร้านค้าซื้อเพิ่มกับเรา ซึ่งทุกวันนี้เรายังไม่เพิ่มค่าคอมมิชชั่นแม้จะมีฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามา”

ผู้ก่อตั้ง Hungry Hub ยังกล่าวว่า “คาดว่าร้านค้าจะมีรายได้เพิ่ม 20% ในปีหน้า จากฟีเจอร์ต่างๆ ที่มาช่วยร้านค้า นอกจากนี้ ยังมีอินฟลูเอนเซอร์จากต่างประเทศที่บินเข้ามาทำคอนเทนต์กับ Hungry hHub โดยเฉพาะมากขึ้นกว่า 500 คอนเทนต์ในปัจจุบัน เพื่อทำให้คนนอกประเทศไทยรู้จักเรา”

และล่าสุดงาน Hungry Hub Red Table Awards 2025 ที่จัดขึ้นเพื่อร้านพาร์ทเนอร์ และคัดตามเกณฑ์เพื่อลูกค้าโดยเฉพาะ น่าจะสร้างยอดขายได้มากขึ้นอีก เพราะในแอปฯ หลายๆ ร้านที่ได้รับรางวัลจะมีป้ายกำกับเพื่อแสดงให้ลูกค้าที่กำลังดูแอปฯ สนใจและมั่นใจในการันตีนี้จาก Hungry Hub

โดยมีมากกว่า 48 รางวัลในปีนี้ เช่น Best Chain Restaurant Awards, Best Tourist Destination Restaurant Awards, Top Performance Blogger Awards, Best Buffet Restaurant Awards เป็นต้น

สุรสิทธิ์พูดทิ้งท้ายว่า Hungry Hub อยากเป็นเหมือน marketing arms ช่องทางการขายอีกช่องทางหนึ่งให้กับร้านอาหารใหญ่ๆ ที่ก่อนหน้านี้พึ่งพาตัวเองมาตลอด เราแค่อยากให้ลูกค้าเข้าถึงร้านเหล่านั้นมากขึ้น สบายใจที่จะจ่ายโดยไม่ลังเลในราคาที่รับได้

นี่เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการเติบโต Hungry Hub จากบริษัทไทยสู่บริษัทระดับภูมิภาคในอนาคต

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Prakaiporn WriterPrakaiporn

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง