ปี 2022 เป็นปีที่ค่อนข้างหนักสำหรับเศรษฐกิจทั่วโลก ตลาดหุ้นพังทลายในต้นเดือนที่ผ่านมา และส่งผลให้สตาร์ทอัพหลายแห่ง มีเงินทุนน้อยลงไปเรื่อยๆ
อย่างที่อินเดีย บริษัทสตาร์ทอัพต่างๆ มีเงินทุนถึง 1.17 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และควรจะมียูนิคอร์นเพิ่มขึ้น 13 แห่งในไตรมาสแรก
แต่เอาเข้าจริงในเดือนเมษายน สตาร์ทอัพในอินเดียสามารถระดมเงินทุนได้เพียง 3.4 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น และไม่มีบริษัทยูนิคอร์นเพิ่มขึ้นเลย
ถึงแม้ในเดือนพฤษภาคมจะมียูนิคอร์นแห่งที่ 100 ของอินเดียเพิ่มขึ้นมา แต่การระดมทุนเงินก็ยังถือว่าช้า โดยมีเงินเพียง 1.6 พันล้านดอลลาร์ ลดลงไป 53% เมื่อเทียบรายเดือน
ตัวเลขพวกนี้ทำให้บริษัทร่วมทุนชั้นนำของอินเดียอย่าง Sequoia, KKR และ Y Combinator ส่งสัญญาณเตือนสตาร์ทอัพทุกแห่ง ให้จัดการพอร์ตการลงทุนดีๆ และหาวิธีที่จะอยู่รอดให้ได้
ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ ‘ลดต้นทุน’ และ ‘เพิ่ม runway (เงินทุนที่คงเหลือหากบริษัทต้องปิดตัวลงไป)’
[ ‘ไล่คนออก’ เพื่อ ‘ลดต้นทุน’ ]
ตอนนี้มีพนักงานถึง 10,029 ราย ถูกเลิกจ้างโดยบริษัทสตาร์ทอัพในอินเดีย 27 แห่ง รวมถึงบริษัทยูนิคอร์นอย่าง Cars24, Ola, Meesho, MPL, Trell, Unacademy, Vedantu, และ Yaari
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทสตาร์ทอัพ 9 แห่ง ยกเลิกการจ้างพนักงาน 3,379 คน ส่วนในเดือน กรกฎาคมนี้พบว่า จำนวนบริษัทสตาร์ทอัพที่เลิกจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 10 แห่ง
ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่ที่ถูกไล่ออกมักจะเป็นฝ่ายบริการลูกค้า ตามด้วยฝ่ายอีคอมเมิร์ซ และฝ่ายเทคโนโลยีด้านการศึกษา (edtech) ซึ่งทั้งสามกลุ่มนี้ ถูกเลิกจ้างงานไปทั้งหมด 8,659 คน จากบริษัทสตาร์ทอัพ 18 แห่งทั่วอินเดีย
ข้อมูลจาก Inc42 พบว่า อัตราการไล่ออกของพนักงานเฉลี่ยอยู่ที่ 30% ด้วยสาเหตุหลักๆ คือ การลดต้นทุน และปรับโครงสร้างบริษัท บางสตาร์ทอัพก็ปิดตัวไปเลยอย่าง Udayy
Vamsi Krishna ซีอีโอของ Vedantu เขียนในบล็อกส่วนตัวว่า “สงครามในยุโรป ความกังวลที่เศรษฐกิจจะถดถอย และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ทำให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบในตลาดหุ้นทั่วโลกและอินเดียเช่นกัน ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การหาเงินทุนจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับไตรมาสที่จะมาถึง”
[ จริงๆ แล้วยังมีวิธีมากมายที่จะควบคุมการใช้จ่าย ไม่ใช่แค่ปลดคน ]
บทความหนึ่งใน Medium เขียนโดย Ash Rust นักลงทุนในสตาร์ทอัพ มองว่าบริษัทต่างๆ สามารถหาวิธีลดค่าใช้จ่าย โดยที่ไม่ต้องไล่พนักงานออกได้
สิ่งแรกที่สตาร์ทอัพสามารถทำได้คือ หยุดการจ้างพนักงานชั่วคราว โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ค่าจ้างสูงขึ้น เว้นแต่ตำแหน่งงานนั้นเป็นตำแหน่งที่สำคัญ ต้องการคนมาทำแทนจริงๆ เท่านั้น
หรือจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดให้เหลือน้อยที่สุด หรืองดไปเลยถ้าเป็นไปได้ และรักษาช่องทางการตลาดที่มีผลตอบแทนการลงทุนที่สูงเกินอย่างน้อย 5 เท่า เพราะในยุคที่เศรษฐกิจกำลังชะงัก คงไม่มีลูกค้ากลุ่มใหม่มากนัก
นอกจากนี้ การตรวจสอบและยกเลิกบริการรายเดือนต่างๆ ที่บริษัทไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้มาก หรือจะเป็นการขอส่วนลด หรือการชำระเงินล่าช้าก็ได้
[ มุมมองต่างๆ ของผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทในอินเดีย ]
Yogita Tulsiani กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง iXceed Solutions มองว่า ทุกสตาร์ทอัพจะเจอปัญหาแบบเดียวกัน เพราะตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เริ่มต้น บริษัทส่วนใหญ่จ้างงานพนักงานเยอะมาก จนทำให้มีพนักงานล้นบริษัท และตอนนี้ไม่สามารถรับมือได้
ในอีกมุมหนึ่ง Sujata Pawar ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Avni เห็นว่า สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวในการจัดการ runway มักจะแก้ปัญหาโดยการเลิกจ้างพนักงาน
และ Piyush Raj Akhouri ผู้ร่วมก่อตั้ง Bridgentech Consulting มองว่า ตราบใดที่องค์กรประสบความสำเร็จในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด การรักษาพนักงานที่มีความสามารถจะไม่เป็นปัญหา และด้วยกำลังคนพร้อมที่จะกระโดดไปสู่โอกาสต่างๆ อุปสรรคเหล่านี้จะไม่เกี่ยวข้องกับนายจ้างหรือลูกจ้างเลย
[ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสภาวะเลิกจ้างงาน ]
Archit Garg ผู้ร่วมก่อตั้ง Glamyo Health เผยกับ Business Insider India ว่า การเลิกจ้างจะมีอย่างต่อเนื่อง และภายใน 6 ถึง 9 เดือน อาจจะมีพนักงานถูกเลอกจ้างถึง 10 เท่า หรือราวๆ 60,000 คน
ส่วน Naveen Jangir ผู้ร่วมก่อตั้ง Incluzon มองว่า พนักงานบริษัทเทคโนโลยีด้านการศึกษา (edtech) จะได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างมากทีสุด เพราะนักเรียนหลายๆ คนกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน
และด้วยวิกฤตการณ์ในภาคอุตสาหกรรม edtech ของอินเดีย การขาดความชัดเจนในโครงสร้างและกระบวนการทำงาน เลยทำให้เกิดอุปสรรคมากขึ้น
สถานการณ์เลิกจ้างในกลุ่มเทคและสตาร์ทอัพ เป็นเรื่องสากล เกิดขึ้นทั่วโลก แม้แต่ประเทศที่เจริญก้าวหน้าอย่างสหรัฐฯ ก็ปลดคนออกรัวๆ บริษัทใหญ่ที่ใหญ่เกินคำว่าสตาร์ทอัพแล้วก็ยังปลดคน ชะลอจ้างงาน รัดเข็มขัด เพื่อเตรียมรับกับความไม่แน่นอนของโลก
ที่มา : INC 42, QZ, Business Insider,
