รายงานจาก Bank of America ระบุว่า หาก Apple Inc. ย้ายฐานการผลิต iPhone กลับไปยังสหรัฐฯ ต้นทุนการผลิตอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งมาจากค่าแรงที่สูงขึ้น และความยุ่งยากด้านการขนส่ง
นักวิเคราะห์ของ BofA นำโดย Wamsi Mohan เผยว่า ต้นทุนของ iPhone อาจเพิ่มขึ้นถึง 25% หากผลิตในสหรัฐฯ
แม้ว่า Apple จะสามารถจ้างแรงงานในประเทศมาประกอบอุปกรณ์ได้ แต่ชิ้นส่วนหลักหลายรายการยังคงต้องนำเข้าจากจีน ซึ่งหากต้องเสียภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ ต้นทุนรวมอาจเพิ่มขึ้นถึง 90% หรือมากกว่านั้น
สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้เพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 125% ขณะที่จีนก็ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ถึง 84%
แม้จะมีข่าวต้นทุนพุ่ง แต่ราคาหุ้น Apple กลับดีดตัวขึ้นกว่า 10% ทันที ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายวันที่ดีที่สุดนับตั้งแต่กรกฎาคม 2020
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปีหุ้น Apple ยังลดลงถึง 23% และลดลงอีก 14% หลังการประกาศขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน ทำให้มูลค่าตลาดหายไปราว 479,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ บริษัท Rosenblatt Securities เตือนว่า การขึ้นภาษีอาจส่งผลให้ราคาหุ้น Apple แกว่งตัวแรง ขณะที่ Dan Ives จาก Wedbush มองว่าการขึ้นภาษีจะเป็น ‘หายนะ’ ต่อบริษัท ด้านผู้บริโภคเองก็เริ่มกังวลถึงราคาที่อาจปรับสูงขึ้น จนเกิดการแห่ซื้อ iPhone ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน Apple มีฐานการผลิตหลักอยู่ที่จีน โดยเฉพาะกับบริษัท Foxconn (หรือ Hon Hai Precision Industry) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของ iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Apple เริ่มกระจายความเสี่ยง โดยขยายฐานการผลิตไปยังเวียดนามและอินเดียมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาจีนเพียงประเทศเดียว และรองรับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ










