นับตั้งแต่ ‘แจ็ค หม่า’ ลาออกจากการเป็นซีอีโอ ‘อาลีบาบา กรุ๊ป’ เหลือเป็นเพียงหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทในปี 2562 และออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายกำกับดูแลทางการเงินของจีนในปี 2563 จนโดนหน่วยกำกับดูแลของรัฐบาลจีนเรียกสอบสวน ทำให้ต้องหลบลี้หนีหายไปจากหน้าสื่อ
ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ ‘อาลีบาบา กรุ๊ป’ ต้องเผชิญกับมาตรการคุมเข้มจากรัฐบาลจีนหลายต่อหลายครั้ง อาทิ ข้อหาผูกขาดการค้าจนโดนปรับกว่า 8.8 หมื่นล้านบาทและนำมาสู่การเข้าครอบครองหุ้นอาลีบาบา กรุ๊ปของรัฐบาลจีนในที่สุด
ดูเหมือนว่าการที่ ‘แจ็ค หม่า’ ไม่ได้นั่งอยู่บนบอร์ดบริหารของอาลีบาบา กรุ๊ปอีกต่อไปจะทำให้เขามีเส้นทางธุรกิจที่แตกต่างออกไปจากเดิมมากขึ้น
Nikkei Asia เผยว่า เขามีความสนใจด้าน ‘เทคโนโลยีการเกษตร’ เป็นพิเศษ เขาถือหุ้นในสตาร์ทอัปด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และได้เข้าไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของมหาวิทยาลัยคินไดในประเทศญี่ปุ่น
ในช่วงประมาณมีนาคม-พฤษภาคมมีคนพบเห็นเขาในญี่ปุ่น ยุโรป อาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อสังเกตได้ว่าเขากำลังคิดจะทำสิ่งใหม่ๆ อยู่
จนกระทั่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (22 พ.ย. 66) ‘แจ็ค หม่า’ ได้เปิดตัวบริษัทอาหารกึ่งสำเร็จรูปมูลค่า 10 ล้านหยวน หรือราวๆ 49 ล้านบาท
ตอบรับกับความต้องการอาหารสำเร็จรูปในจีนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังโควิดระบาดโดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ขนาดตลาดอาหารกึ่งสำเร็จรูปของจีนมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 596,100 ล้านหยวน หรือราวๆ 2.5 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ปี 2567 จะเติบโตไปอยู่ที่ 778,200 ล้านหยวน หรือราวๆ 3.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
ประกอบกับจีนยังนำเข้าอาหารกึ่งสำเร็จรูปจากต่างประเทศค่อนข้างสูง อาทิ
-
-
-
-
- นำเข้าจากเกาหลี สัดส่วน 52.47% ด้วยมูลค่า 4,600 ล้านบาท
- นำเข้าจากอินโดนีเซีย สัดส่วน 12.01% ด้วยมูลค่า 1,088 ล้านบาท
- นำเข้าจากอิตาลี สัดส่วน 7.79% ด้วยมูลค่า 702 ล้านบาท
-
-
-
แล้วจีนก็ยังเป็นประเทศที่มีการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยในปี 2565 มียอดขายมากถึง 45,070 ล้านห่อเลยทีเดียว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าทุกๆ ปี เห็นได้ชัดว่าความต้องการอาหารกึ่งสำเร็จรูปในจีนกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แล้วคุณล่ะ? คิดว่าธุรกิจใหม่ของ ‘แจ็ค หม่า’ จะประสบความสำเร็จเหมือนกับครั้งที่เขาสร้าง ‘อาลีบาบา กรุ๊ป’ หรือไม่ หรือเขากำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจแบบไหน มาแชร์กันได้ในคอมเม้นท์เลย
ที่มา










