ปรากฏการณ์ไลฟ์สดร้อยล้าน ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ กับบทเรียนการตลาดนอกตำรา

ปรากฏการณ์ไลฟ์สดร้อยล้าน ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ กับบทเรียนการตลาดนอกตำรา

ช่วง 4 วันที่ผ่านมา วงการขายออนไลน์สั่นสะเทือนจากกระแสไลฟ์ขายของมาราธอนของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” (รัชนก สุวรรณเกตุ) ที่ทำยอดขายทะลุเกือบ 300 ล้านบาท จากการไลฟ์มาราธอนตั้งแต่เที่ยงวันยันเช้าในวันถัดไป

กระแสของเจนนี่เริ่มต้นจากประเด็นดราม่าครอบครัวเรื่องหนี้สินของแม่ ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางบนโซเชียลมีเดีย จนเธอมีการออกมาไลฟ์เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และมีคนดูจำนวนมากในไลฟ์นั้น เมื่อเรื่องดราม่าแม่ลูกเหมือนจะถูกอธิบายไปหมดแล้ว กระแสที่ติดปลายนวมจากดราม่า ส่งต่อมาถึงกระแสแม่ค้าออนไลน์ของเธอ เจนนี่เลือกจบดราม่าเรื่องแม่และมูฟออนมาทำมาหากินต่อ ด้วยการเปลี่ยนความสนใจของผู้คนให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ

บทความนี้ TODAY Bizview จะพาไปแกะความปังเบื้องหลังไลฟ์สดร้อยล้านของ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ กัน

ถ้าตามปกติก่อนจะเกิดปรากฏการณ์เจนนี่เปิดรับจ้างไลฟ์สินค้าให้แบรนด์ต่างๆ ด้วยค่าจ้างไลฟ์ หนึ่งแบรนด์ 1 ชั่วโมง 2 แสนบาท แต่พอเกิดดราม่าที่ส่งกระแสมาจ้างเธอมีแบรนด์เริ่มทักมาจ้างมากขึ้น เจนนี่มองเห็นโอกาสและไม่อยากให้หลุดมือจึงปรับแผนเป็น รับจ้างไลฟ์ให้แบรนด์ละ 10 นาที 50,000 บาท 

พร้อมกับเพิ่มกติกาว่า กำหนดว่าสินค้าที่กำลังไลฟ์สามารถขายได้ 1,000 ออเดอร์ โดยเธอขอค่าออเดอร์อีก ออเดอร์ละ 50 บาท (ใน 1,000 ออเดอร์ แปลว่าเธอจะได้อีก 50,000 บาท นอกเหนือจากค่าจ้างไลฟ์ 50,000 บาทแรก) 

แต่ถ้าสินค้าที่ไลฟ์ใน 10 นาทีนั้น ขายหมดตั้งแต่ 2 นาที และยังเหลืออีก 8 นาที เจนนี่ก็จะดีลสดกลางไลฟ์ ซึ่งคนดูลูกค้าก็จะเห็นพร้อมกันไปด้วย โดยเจนนี่จะถามแบรนด์เลยว่าอยากจะจ้างต่ออีก 50,000 บาทหรือไม่ ซึ่งก็มีบางแบรนด์ที่จ้างต่อ ทำให้บางแบรนด์จ่ายให้เจนนี่สูงขึ้นเรื่อยๆ 

บางแบรนด์มีออเดอร์กลางไลฟ์  10,000 ออเดอร์ เจนนี่ก็จะได้ส่วนต่างที่ขอออเดอรละ 50 บาท เป็น  500,000 บาท ถ้ามี 20,000 ออเดอร์ ก็ได้ 1 ล้านบาท หรือ ถ้าทะลุไป 60,000 ออเดอร์ คือ 3 ล้านบาท และมีบางแบรนด์ที่จ่ายสูงสุดถึง 8 ล้านบาทใน 10 นาที 

จากไลฟ์แบบเดิมที่เจนนี่คิดเรท 1 ชั่วโมง 2 แสน บาท เมื่อเทียบกับแบบใหม่ 10 นาที และเธอทำได้ 3-8 ล้าน บาท แน่นอนว่า ‘แบบนี้ดีกว่า’ 

[ ไลฟ์มาราธอนคนไลฟ์ไม่ท้อ คนดูไม่ถอย แบรนด์รุมกันแย่งเวลา ]

ด้วยฐานผู้ติดตามเดิมใน TikTok อยู่แล้วประมาณ​  10 กว่าล้าน หลังจากเกิดดราม่าขึ้นแบรนด์ที่มาจ้างเจนนี่ไลฟ์มีมากขึ้นเรื่อยๆ ใน 4 วัน และน่าสนใจว่ายิ่งยอดการดูไลฟ์มาราธอนของเธอสูงมากแตะหลักหมื่นทะลุหลักแสนไปจนถึงช่วงพีคสุดคือ 5 แสนคน 

ส่วนหนึ่งเพราะอัลกอริทึ่ม Tiktok จะยิ่งส่งถึงไลฟ์ที่มีความนิยมและมียอดกดสั่งซื้อที่ตะกร้าให้เห็นมากขึ้นไปอีก 

ไลฟ์เจนนี่มียอดคำสั่งซื้อพุ่งขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์ต่างๆ ติดต่อเข้ามาในทันทีเพื่อขอออกไลฟ์ในกล้องเจนนี่ 

จนเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกกันว่า ‘เทศกาลเจนนี่’ ขึ้นมา แบรนด์รุมแห่จ้างทั้งจากแบรนด์ทั่วไป แบรนด์ดารา เซเลบฯ คนดัง และทั้งหมดเป็นแบรนด์คนไทยทั้งสิ้น คนดังหลายคนเดินทางมาไลฟ์ออกกล้องเดียวกันถึงที่บ้านเจนนี่

[ 4 วัน ยอดขายรวม 264 ล้านบาท ]

ขณะที่ฝั่งคนไลฟ์ไม่ท้อ คนดูก็ไม่ถอย ไม่หลับไม่นอนไปกับเจนนี่ บางคนหลับไปแล้ว ตื่นมายังตามมากดดูไลฟ์ตี 4 ก็ยังเห็นเจนนี่กับเพื่อนไลฟ์ขายลำโพงอยู่ ด้วยวิธีการขายที่แสนจะมีไอเดียด้วยการเปิดรายการเดอะโกสต์ออกลำโพงตัวที่ขายไปด้วย 

และอีกหลายสารพัดการสร้างกิมมิคทางการตลาด

จนไลฟ์ของเจนนี่ถูกพูดถึงทั่ว Tiktok บรรดาติ๊กต่อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ทั้งฝั่งการตลาด จิตวิทยา ฝั่งเกาะเทรนด์ ฝั่งเล่าข่าว ต่างออกมาถอดบทเรียน วิเคราะห์และพูดถึงเรื่องนี้ว่า ‘ไม่เคยมีมาก่อน’ เป็นระดับปรากฏการณ์เลยก็ว่าได้

ล่าสุดในช่วงวันที่ 10–14 ตุลาคม 2568 เธอสามารถปิดยอดขายรวมกว่า 264 ล้านบาท โดยทำรายได้เข้ากระเป๋าแน่ๆ มากกว่า  50 ล้านบาท และจนถึงตอนนี้ยังคงมีแบรนด์สินค้ามารอให้เธอช่วยไลฟ์ขายเป็นร้อยๆ แบรนด์ 

[ วิเคราะห์ความปังเบื้องหลังไลฟ์ร้อยล้าน ]

เริ่มจากทีมเวิร์กดีจะทำให้คอนเทนต์มีชีวิต จุดแข็งของเจนนี่ไม่ใช่แค่พลังการพูดขาย แต่คือ ทีมงานที่ช่วยเสริมจังหวะและพลังระหว่างไลฟ์ โดยเฉพาะ “บูม” (ยุทธภูมิ แก้วเข้ม) เพื่อนสนิทและเจ้าของเพจดัง เทยกะทะ ที่มีสไตล์รีวิวสินค้าสนุก เข้าใจง่าย และช่วยขยายสรรพคุณสินค้าระหว่างขายได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งบูมจะมีกิมมิคที่พูดเสมอในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ว่า “บูมใช้ทู๊กกกวันนน” 

ระหว่างไลฟ์ เจนนี่จะหยิบสินค้าขึ้นมาพรีเซนต์ทีละแบรนด์ และแน่นอนว่า การไลฟ์อย่างเดียวให้ขายได้ ยังไม่ดึงดูดพอ การไลฟ์ขายสินค้า จึงต้องมาพร้อม ‘ราคาพิเศษเฉพาะในไลฟ์’ ซึ่งเป็นจุดที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ชมตัดสินใจซื้อทันที พร้อมกับการมีเพื่อนคอยเสริมจังหวะพูดคุย ทำให้บรรยากาศดูสนุกและดึงดูดใจ เหมือนคุยกับเพื่อนมากกว่าการถูกขายของ

อีกทั้งเธอยังมี ‘ยิว’ (ฉัตรมงคล สมแก้ว)  สามีของเธอที่เข้ากันได้ดีกับเพื่อนทำให้บรรยากาศในการไลฟ์สดไหลลื่นไปได้ดี คอนเทนต์สนุก หัวเราะ ลูกค้าที่เข้ามาดูก็ยอดชมตั้งแต่หลักแสนขึ้นไป ปักตะกร้าอะไรลูกค้าก็พร้อมกด

[ ความเรียลและโปร่งใส ]

สิ่งที่ทำให้ไลฟ์แม่ค้าออนไลน์ของเจนนี่แตกต่างจากไลฟ์อินฟลูเอนเซอร์ขายของทั่วไป คือ “ความเรียล” และ “ความโปร่งใส” ในการดีลงานกับแบรนด์แบบสดๆ กลางไลฟ์ เธอพูดตรงไปตรงมาว่า คิดค่าไลฟ์ 10 นาที 50,000 บาท พร้อม การันตี 1,000 ออเดอร์แรก และรับ ค่านายหน้าเพิ่มจากยอดขายจริง การเปิดเผยตัวเลขต่อหน้าผู้ชมแบบไม่ปิดบัง สร้างทั้งความฮือฮาและความเชื่อมั่นในพลังการขายของเธอ

ตัวอย่างเช่น แบรนด์ LYO ของ “หนุ่ม กรรชัย” ที่เจนนี่รับงานปักตะกร้าและไลฟ์ขาย ได้ค่าจ้างรวม 3 ล้านบาท ซึ่งเธอยืนยันผ่านรายการ โหนกระแส ด้วยตัวเอง

[ ความคุ้มที่แบรนด์ยอมแลก เมื่อยอดขายอาจไม่เท่าได้กระแสโปรโมท ]

แน่นอนว่าการขายในระดับนี้ก็มีความเสี่ยงที่แบรนด์ต้องยอมรับ เจนนี่อธิบายว่า ยอดขายสูงเกิดจาก “โอกาส” แต่ผู้จ้างควรเข้าใจความเป็นจริงของตลาด เช่น การยกเลิกออเดอร์หรือสินค้าตีกลับ ทว่าเธอเชื่อมั่นว่า “ยอดขายสุทธิและคอนเทนต์ต่อยอดหลังไลฟ์” จะคุ้มค่ากับความเสี่ยงเสมอ

อย่างไรก็ตาม เจนนี่เชื่อมั่นในการทำไลฟ์แบบ “บ้านๆ” โดยใช้โทรศัพท์เครื่องเดียว แม้จะโดนวิจารณ์ว่าไม่ได้ใช้กล้องหรือแสงที่ดี หรือการแต่งตัวที่ดูเรียบๆ เรียลๆ ใส่ชุดนอนไม่ได้แต่งหน้าทำผมเป๊ะ แต่เธอเชื่อว่าคนดูชอบความเรียลและความเป็นตัวของตัวเอง และเธอยืนยันว่าจะพยายามไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการไลฟ์มากเกินไป เพราะเธอต้องการให้ทุกอย่าง “เหมือนเดิมตั้งแต่วันแรก” โดยต้องบาลานซ์ระหว่างการขายของกับการ เสิร์ฟความสนุก และความสุขให้กับผู้ชม

และการขายก็จะบาลานซ์คิวไม่ให้สินค้าประเภทเดียวกันขึ้นติดกัน เช่น สบู่ 10 ตัวติดกัน เพราะจะทำให้ยอดขายลดลง

[ เปิดพื้นที่ให้เจ้าของแบรนด์เล่าเรื่องเอง ] 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่โดดเด่นคือการ เปิดพื้นที่ให้เจ้าของแบรนด์มาขายสินค้าด้วยตัวเอง ระหว่างไลฟ์ เจนนี่มักโทรหาเจ้าของแบรนด์ให้เข้ามาอธิบายสินค้า สร้างความน่าเชื่อถือและความใกล้ชิดกับลูกค้า

หลายแบรนด์ใหญ่ โดยเฉพาะเจ้าของที่เป็นดารา เลือกมาหาเธอถึงบ้านเพื่อไลฟ์เสริมความน่าเชื่อถือไปด้วย เช่น

        • ออม สุชาร์ ที่นำแบรนด์ตัวเองมาไลฟ์ ทำยอดขายหลักล้าน และเริ่มทำคอนเทนต์ตั้งแต่หน้าบ้านเจนนี่เพื่อเรียกกระแส
        • เชน ธนา ที่มาไลฟ์ขายสินค้าด้วยตัวเองถึงบ้านเจนนี่ และทำยอดขายกว่า 10 ล้านบาท ก่อนต่อยอดไปทำไลฟ์ในช่องของตัวเอง ซึ่งในกรณีนี้เจนนี่ประกาศว่าไม่คิดเงินกับเชน

เจนนี่ยังเล่าในรายการโหนกระแสว่า เธอมัก “แทรกคิวพิเศษ” ให้เหล่าดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ เพราะการมีคนดังมาช่วยขาย จะดันเอนเกจเม้นท์ของไลฟ์โดยรวมพุ่งขึ้นหลายเท่า เช่น กรณีของ เม พรีมายา ที่พาลูกแฝด “โซล–โมเน่” มาเล่นกับ “น้องยูจิน” ลูกสาวเจนนี่ ยอดผู้ชมไลฟ์สดทะลุ 500,000 คน และยอดขายสินค้าพุ่งหลายล้านบาทในคืนเดียว

ที่น่าสนใจคือ การทำแบบนี้จะช่วยสร้างประโยชน์ต่อแบรนด์เล็ก เพราะเมื่อ เอนเกจเม้นท์สูงขึ้น แบรนด์เล็กๆ ทั่วไปที่ขึ้นต่อจากดารา คนดัง ก็จะได้รับประโยชน์จากยอดคนดูที่ค้างอยู่ หลักแสนวิว โดยที่พวกเขาไม่ต้องเสียเงินยิงแอดแพง

[ ไลฟ์เดียว ได้ทั้งยอดขายและคอนเทนต์ ]

สำหรับแบรนด์ การจ้างเจนนี่ไม่ใช่แค่ซื้อยอดขาย แต่คือการได้ “แพ็กเกจคอนเทนต์ครบวงจร” ตั้งแต่ก่อนเริ่มดีลงาน ซึ่งมักถูกโพสต์โปรโมตบนโซเชียลของทั้งสองฝ่าย สร้างกระแสให้คนรอดูไลฟ์ ไปจนถึงหลังจบที่สามารถนำคลิปไปตัดต่อและต่อยอดได้อีก

เหล่าคนดังที่มาร่วมไลฟ์ก็มักสร้างคอนเทนต์เพิ่ม เช่น เบื้องหลัง บรรยากาศในบ้าน หรือคลิปสั้นลง TikTok ช่วยขยายการเข้าถึงของแบรนด์ได้หลายเท่าตัว

สิ่งที่ทำให้แบรนด์อยากร่วมงานกับเธอ คือ ดีลง่าย โปรดักชันไม่ซับซ้อน แต่ผลลัพธ์คุ้มค่า เธอยินดีรับสินค้าหลากหลายประเภท ขอเพียงสินค้ามีคุณภาพและราคาดี ส่วนแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ยอดขายมักพุ่งทันทีหลังไลฟ์

[ ทีมเวิร์กดีส่งพลังการไลฟ์ ]

“บูม” เพื่อนสนิทของเจนนี่คือกำลังสำคัญอีกคน นอกจากช่วยสร้างสีสันระหว่างไลฟ์ เขายังได้รับรายได้แยกจากแบรนด์โดยตรง และเจนนี่กับ “ยิว” สามี ยังแบ่งให้บูม 400,000 บาทใน 4 วัน พร้อมตั้งใจจะให้ค่าช่วยขาย เดือนละ 3 ล้านบาท ถือเป็นการช่วยเพื่อนพลิกชีวิตจากวิกฤตทางการเงินให้กลับมายืนได้อีกครั้ง

ทั้งเจนนี่และบูมยังมีความคิดไว ปรับตัวได้ตลอด เช่น ในคืนหนึ่งที่ไม่สามารถติดต่อเจ้าของแบรนด์ลำโพงได้ทันเวลา เจนนี่จึงทดลองเปิดเพลงจาก The Ghost Radio เพื่อสาธิตคุณภาพเสียง ผลคือสินค้าถูก “แย่งกดตะกร้า” จนหมดในไม่กี่นาที  กลายเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ไวรัล

สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเจนนี่ไม่ใช่แค่พลังการขาย แต่คือมายเซ็ตแห่งการก้าวต่อไปไม่ติดกับดักดราม่าเรื่องแม่นาน อย่างเจนนี่เองที่เผชิญดราม่าจากครอบครัว ก็สอนแนวคิดให้กับน้องสาว “ลิลลี่” ว่าไม่ควรจมอยู่กับปัญหาครอบครัวอีกต่อไป แต่ให้ “มูฟออน มีความสุข และหาเงินให้ได้เยอะที่สุด”เพราะเจนนี่เชื่อว่า เมื่อโอกาสมาถึงเราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส 

สุดท้ายแล้ว ปรากฏการณ์ไลฟ์สดร้อยล้านของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” สะท้อนให้เห็นพลังของความเรียลและความจริงใจในการขายที่กลายเป็นจุดแข็งสำคัญในยุคที่ผู้บริโภคต้องการความใกล้ชิดและความน่าเชื่อถือจากคนขาย 

เจนนี่เองก็ปรับใช้แพลตฟอร์ม TikTok เป็นช่องทางสร้างโอกาส ทั้งให้ตัวเอง ทีมงาน และเจ้าของแบรนด์ได้มีพื้นที่เล่าเรื่องสินค้าอย่างตรงไปตรงมา พร้อมผสมผสานความบันเทิงและความเป็นกันเองเข้าไว้ด้วยกัน จนสามารถเปลี่ยนไลฟ์สดธรรมดาให้กลายเป็นอีเวนต์การตลาดทรงพลังสร้างทั้งกระแสและยอดขายหลายร้อยล้านบาท กลายเป็นโมเดลใหม่อันน่าจดจำของการขายออนไลน์ในยุค Creator Economy อย่างแท้จริง

AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง