กำเนิด ‘จอลลี่แบร์’ แบรนด์ไทยแท้วัย 50 ปี เริ่มจากขายลูกอม สู่เยลลี่หมีร้อยล้าน

กำเนิด ‘จอลลี่แบร์’ แบรนด์ไทยแท้วัย 50 ปี เริ่มจากขายลูกอม สู่เยลลี่หมีร้อยล้าน

ถ้าพูดถึง ‘เยลลี่หมี’ ในประเทศไทยไม่ว่าใครก็ต้องรู้ว่ากำลังพูดถึง ‘จอลลี่แบร์’ หรือ Jolly Bear เยลลี่หมีที่เด็กไทยทุกคนคุ้นเคย แต่จริงๆ แล้วหลายคนอาจไม่รู้ว่า เจ้าของแบรนด์เยลลี่ยอดฮิตจอลลี่แบร์ไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจจาก ‘เยลลี่หมี’ แต่เริ่มจากของหวานอย่างอื่น แต่สินค้าที่ว่านั้นคืออะไรและเจ้าของหมีจอลลี่แบร์เป็นใคร TODAY Bizview จะเล่าให้ฟัง

[ กำเนิดจอลลี่แบร์ แบรนด์ไทยแท้ 100% อายุ 50 ปี ]

ย้อนกลับไปเมื่อ 51 ปีก่อนในเดือน ม.ค. 2516 ‘บริษัท พงษ์จิตต์ จำกัด’ ได้จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นในประเทศไทย โดย ‘สมพงษ์-สมจิตต์ เชาวน์ประดิษฐ์’ ที่หันเหจากธุรกิจโรงเลื่อยมาก่อตั้งพงษ์จิตต์ขึ้นเพื่อมาลุยทำธุรกิจ ‘ลูกอมแบบแข็ง’ ที่กำลังได้รับความนิยมและรุ่งเรืองในเวลานั้น

ก่อนในเวลาต่อมาครอบครัว ‘เชาวน์ประดิษฐ์’ จะสานต่อธุรกิจด้วยทายาทรุ่น 2 ที่รับช่วงต่อกิจการ แต่ปรากฎว่าการผลิตลูกอมแบบแข็งเจอกับการแข่งขันสูงมากในตลาด จึงทำให้ทายาทรุ่น 2 ตัดสินใจหันมาผลิต ‘เยลลี่รูปหมี’ แทน 

[ คนไทยยังไม่รู้จักเยลลี่ เลือกทำโฆษณาทีวีให้คนรู้จัก ]

ปัญหาคือ แม้จะตัดสินใจผลิตเยลลี่รูปหมีออกขาย แต่คนไทยยุคนั้นดันยังไม่ค่อยรู้จักเยลลี่รูปหมีเท่าไรนัก เลยกลายเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจซื้อเยลลี่หมีกลับบ้าน

ทายาทรุ่น 2 ของครอบครัวเชาวน์ประดิษฐ์จึงตัดสินใจจะทำการตลาดผ่านสื่อโฆษณาในช่องทางหลักอย่าง TV และหนังสือ เพื่อทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จนสินค้า ‘เยลลี่หมี’ ได้รับการตอบรับอย่างดีในเวลาต่อมา แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มทำ ‘แบรนด์’ แบบจริงจังเลย

[ ย้อนไป 8 ปีหลัง ตลาดแข่งขันสูง ต้องสร้างแบรนด์ ]

‘นิค-พลากร เชาวน์ประดิษฐ์’ ผู้เป็นทายาทรุ่น 3 ของจอลลี่แบร์ เล่าว่า กระทั่ง 7-8 ปีที่ผ่านมา มีผู้เล่นรายอื่นเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์จากต่างประเทศ บริษัทจึงต้องมุ่งสร้างแบรนด์อย่างจริงจังอีกครั้ง 

เพราะ ‘จอลลี่แบร์’ อยู่ในตลาดมาอย่างยาวนาน ทำให้ผู้บริโภคเจนใหม่ๆ อาจไม่รู้จักไม่เข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของแบรนด์ แล้วรูปแบบการทำการตลาดแบบเดิมๆ ผ่านช่องทางหลักก็ไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่ใช้เวลาในโลกโซเซียลมากขึ้นอีกต่อไป

ตอนหลังแบรนด์เลยเปลี่ยนรูปแบบการสร้างแบรนด์และทำการตลาด หันมาทำการตลาด Offline ควบคู่กับ Online โดยเน้นที่ Online เป็นหลัก 

เริ่มจากการใช้ Influencer ทำการตลาดผ่านโซเซียลมีเดียต่างๆ ทั้ง YouTube, Facebook, TikTok และ Instagram ในการรีวิวสินค้าช่วยสร้างกระแสก่อให้เกิดการบอกต่อ ทำให้เกิดการมองหาสินค้า ตัวสินค้าเองก็ต้องได้มาตรฐาน เดินหน้าพัฒนาสินค้าให้มีความสดใหม่อยู่เสมอ ทั้งรสชาติใหม่ แพ็กเก็จจิ้งใหม่ หรือหาพันธมิตรในการออกสินค้าใหม่ร่วมกันก็ได้

[ 3 ข้อสร้างแบรนด์แกร่ง จุดแข็ง-มาตรฐาน-พันธมิตร  ]

“การยืนหยัดในตลาดที่มีผู้เล่นจำนวนมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เพราะแบรนด์ที่ดีจะช่วยสร้างความความเชื่อมั่น เชื่อใจ และน่าเชื่อถือให้กับองค์กรและสินค้า”

‘นิค-พลากร’ บอกว่า การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งได้นั้นจะต้องอาศัย 3 ข้อหลักๆ คือ 

1.ต้องหาจุดแข็งของสินค้าให้เจอ สำหรับจอลลี่แบร์ก็คือ ความคุ้มค่า มีประโยชน์ มุ่งเน้นความปลอดภัย 

2.สร้างมาตรฐานให้กับสินค้า สินค้าต้องได้มาตรฐานสากลในทุกด้าน

3.เดินหน้าหาพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน อย่างในช่วงหนึ่ง จอลลี่แบร์ได้จับมือแบรนด์รองเท้ากีโต้ เพื่อทำรองเท้าของจอลลี่แบร์ออกมาช่วงหนึ่ง ได้รับการตอบรับที่ดี 

“3 สิ่งนี้ทำให้จอลลี่แบร์ยังคงอยู่ในตลาดได้ พร้อมอัตราการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทมียอดขายสูงถึง 300 ล้านบาท อยากให้ SME จำไว้ว่า เมื่อไหร่ที่หยุดสร้างแบรนด์ก็จะมีปัญหาเมื่อนั้น เพราะคู่แข่งพร้อมที่จะมาแซงเราอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น แบรนด์ จึงเป็นหัวใจหลักที่เราต้องรักษาและทำให้ดี”

SiraromWriterSirarom
นักข่าวธุรกิจการตลาดที่เคยวิ่งในสนามอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ชอบเรื่องราวของผู้คนและหวังว่าในทางหนึ่งข่าวธุรกิจการตลาดจะสร้างแรงกระเพื่อมสู่สังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง | [email protected]

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
กำเนิด ‘จอลลี่แบร์’ แบรนด์ไทยแท้วัย 50 ปี เริ่มจากขายลูกอม สู่เยลลี่หมีร้อยล้าน