ก่อนหน้านี้คนอาจจะเห็นแคมเปญ ‘โกโกวากระโดดเชือก’ และ ‘โกโกวาล่องแม่น้ำเจ้าพระยา’ จาก Squid Game 2 และ Squid Game 3 หรือ แคมเปญโปรโมตของ สงครามส่งด่วน ที่มีสตันท์ไรเดอร์ขับขนของกองพะเนิน และพัสดุติดเทปและสติกเกอร์โปรโมต ‘ขนส่งรากหญ้า ขอท้าทุนเจ้าสัว’ ที่ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงพลังของซีรีส์ที่ออกมาล้อมรอบตัวเราชนิดที่ว่าหันไปไหนก็เจอ
เบื้องหลังแคมเปญเหล่านี้คือบริษัท JONGLUCKDEE บริษัทโฆษณาที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างสรรค์งานบนหน้าจอแต่พาให้ความรู้สึกทั้งหมดที่เราเห็นในจอสามารถจับต้องได้ในชีวิตจริง ก่อนที่จะไปสร้างบทสนทนาในโลกออนไลน์อีกต่อ TODAY Bizview พาไปพูดคุยกับ ‘เอย-ภัทศา อัตตนนท์’ Managing Director ของบริษัทถึงเบื้องหลังและแนวคิดหลังแคมเปญเด่น และสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากแคมเปญเหล่านี้ทั้งในฐานะลูกค้าและคนทำงาน

[ จุดเริ่มต้นการก้าวออกจากโฆษณาโทรทัศน์ของ JONGLUCKDEE ]
‘เอย’ เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นจริงๆ ก็คือจากการที่ Netflix เข้ามาทำตลาดที่ประเทศไทยตั้งแต่ยังไม่ได้มีออฟฟิศอยู่ที่เมืองไทยเลย ตอนนั้นเป็นช่วงประมาณที่ Narcos แล้วก็ The Haunting of Hill House เข้าสตรีมประมาณปี 2018
ซึ่งจริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นก็มาจากชื่อเสียงและผลงานของการที่ JONGLUCKDEE ทำงานโฆษณาปกติมา พอได้มาทำงานให้ทาง Netflix เราก็มองว่าการโปรโมทคอนเทนต์คือการโปรโมตโปรดักต์ประเภทหนึ่ง เป็นงานที่เราทำตามปรกติอยู่แล้ว แต่เพียงแค่ว่าวันนี้ ลูกค้ามาในหมวดใหม่เป็นแบรนด์สตรีมมิ่ง
แต่สิ่งที่ต่างกันจากโปรดักต์ที่เราทำปกติคือ ปรกติอาจจะมีโจทย์พื้นฐานคือการสร้าง awareness การรับรู้) และอาจจะมีเรื่องของการสร้าง brand credibility (ความน่าเชื่อถือ) หลังๆ ก็อาจจะมีเรื่องของ engagement (การมีส่วนร่วม) แต่ Netflix เขาจะมีโจทย์ที่เขาปักธงไว้เป็นหัวใจหลักเลยก็คือการสร้าง conversation
[ บรีฟดีงานดี ผลงานดี ]
แล้วใช้อะไรเป็นจุดตั้งต้นวางกลยุทธ์ในการทำแคมเปญ?
‘เอย’ ยังบอกอีกว่า จริงๆ แล้ว ต้องให้เครดิตทาง Netflix 100% เลย เพราะว่าบรีฟทั้งหมด มันจะเป็นที่เข้มข้นมากๆ ก่อนที่เราจะลงมือทำงาน ทาง Netflix เขาจะเหมือนคิดจุดขายมาให้เราแล้ว
ซึ่งอันนี้เป็นทาง Netflix Thailand เป็นคนสร้างจุดเริ่มต้นมาให้เราทุกแคมเปญเลย ตอนที่เขาบรีฟ ก็จะมีการมาคุยกันเลยว่าเขามองว่า Talking point (จุดท่ีคนน่าจะพูดถึง) จะมีอะไรบ้าง
ทาง Netflix ก็จะมี Talking point มาค่อนข้างหลายมุม เราก็ต้องมีหน้าที่ในการมาบาลานซ์ เก็งข้อสอบว่าอะไรจะโดนใจผู้ชม คือพอเป็นโปรดักต์อย่างซีรีส์ มันมีมิติของการพูดถึงได้หลากหลาย เราก็ต้องใช้เซนส์ตัวเองนิดนึงในการเลือกว่า อะไรที่คนน่าจะพูดถึง และอะไรที่ไม่ใช่แค่พูดถึงอย่างเดียว แต่ต้องกลับมาที่ทำให้คนกลับมาดูซีรีส์ด้วย
เช่นตอน สงครามส่งด่วน คำว่า Startup บริการขนส่ง เด็กแว้น underdog อะไรพวกนี้ เป็นคีย์เวิร์ดที่ทะลุออกมาตั้งแต่ตอนบรีฟ ซึ่งพอเราฟังเรามักจะมีไอเดียที่ผุดขึ้นมา ตั้งแต่วันที่ได้รับบรีฟแล้วด้วยซ้ำ พอทาง Netflix บรีฟมาปุ๊บว่า อยากจะทำเป็นพัสดุ ขนส่งพัสดุ ครีเอทีฟก็คือสเก็ตช์มาในกระดาษตั้งแต่แรกเลยว่า เราจะทำเทป
เพราะเทปเป็นสิ่งที่เราเห็นภาพว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในซีรีส์เยอะมากๆ และมีคาแรคเตอร์ตรงกับความเป็น Thunder Express ที่มีความรากหญ้าอยู่นิดหน่อย ไม่ได้ดูเรียบร้อยดูมืออาชีพ อันนี้เป็นภาพที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้แรงบันดาลใจตั้งแต่ตอนที่ได้รับบรีฟเลย
คือถ้าบรีฟดี 60-70% คือเราจะรู้เลยตั้งแต่แรก จงรักดีเองก็ทำโปรโมทพวกนี้มาตั้งแต่ประมาณปี 2018 จากประสบการณ์ เราก็พอจะรู้ว่าบรีฟประมาณนี้ มันจะไปได้ไกลแค่ไหน เราจะรู้เลยว่าอันนี้ เราต้องปิดรูรั่ว มันไม่ได้แปลว่าทุกคอนเทนต์มันจะไป เราก็ต้องปิดรูรั่ว ทำยังไงให้ marketing แคมเปญมันพาเขาไปไกลได้มากกว่าที่มันควรจะเป็น
[ การจับคู่ Touch Point กับไอเดีย ]
ในโลกโฆษณา มันคือการแต่งงานกันระหว่างไอเดียกับ Touchpoint
Touchpoint คือ Channel ว่าเราจะเอาไอเดียนี้ไปใส่ไว้ตรงไหนแล้วทำให้ประสบการณ์นี้ คนจะสร้างบทสนทนาจากมันได้ อย่างเทป เรามองว่าเทปเป็นสื่อ และเราเอาคอนเทนต์ใส่เข้าไปในเทป
เราต้องการให้มันเป็นการประกาศศึกของ Thnder Express เรามองว่าถ้าเรากำลังจะเป็นคนทำการตลาดของ Thunder Express เราจะเปิดตัวบริการขนส่ง Thunder Express ยังไงให้บ่งบอกถึงทัศนคติของการเป็นคนตัวเล็ก แล้วก็คิดว่าเขาคงจะไม่ได้มีเงินมาลงทุนทำอะไรที่มันใหญ่โต เขาคงมองอะไรที่มันใกล้ตัว เลยนึกถึงเทป และในเทปมันก็จะมีคำว่าขนส่งรากหญ้า ขอท้าชนทุนเจ้าสัว
[ เรียงแคมเปญเพื่อห้อมล้อมผู้คนด้วยเรื่องราวเดียว ]
สำหรับการลงมือทำแคมเปญมีจริงๆ หลักการมันจะเป็นค่อนข้างเป็นอะไรที่เรียบง่ายประมาณหนึ่ง คือมันจะมีบางไอเดียที่เหมาะกับการเปิดตัวไปก่อนที่ซีรีส์จะออน เช่นในกรณีของ สงครามส่งด่วน troupe มอเตอร์ไซค์ขนพัสดุใหญ่ๆ ก็ใช้หลักการของการสร้าง Visual Impact ที่ไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะ เห็นภาพเดียวแล้วเข้าใจเลย ก็จะปล่อยอันนี้ออกไปก่อน
“คุณยังไม่ต้องรู้จักซีรีส์ได้ แต่อย่างน้อยอันนี้มันจะเป็นตัวที่ทำให้คุณหันมอง คือออกไปนอกบ้านไปทำงานแล้วมันมีภาพจำอะไรบางอย่างว่า นี่เป็นอะไรใหม่ๆ นะ ที่ดูแล้วมันไม่ปกติ ใส่โปรแกรมเข้าไปในหัวคนก่อนว่า มันจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้น”
แต่อย่างตัวพัสดุที่เป็นกล่อง Thunder Express พอเราจะทำพัสดุส่งออกไปทั่วประเทศ ก็ต้องใช้เวลา ทำออกมาปุ๊บ กว่าคนจะสั่งของออนไลน์ กว่ามันจะไปถึง เก็งข้อสอบแล้วว่าคงต้องใช้เวลาประมาณซักแบบ 5-6 วัน ที่เราตั้งเป้าไว้จะทำพัสดุทั้งหมดประมาณ 500,000-600,000 กล่อง เราก็จะตั้งเป้าไว้ว่าอย่างน้อยตอนที่ซีรีส์มันออนไปแล้ว คนเขาคงน่าจะได้รับสินค้าแบบเกือบๆ 50%
แล้วในออนไลน์มันก็จะต้องเห็นบ้านในซีรีย์เขาก็จะมี Trailer มีการปล่อยโปสเตอร์ออกมา เริ่มมีการเอาดาราไปออกรายการ อันนี้ทุกอย่างคือทำเป็นเหมือนองคาพยพที่แบบทุกทีมก็จะมาเลย์ดาวน์แล้วก็มาซิงโครไนซ์กัน
มันคือการแวดล้อมชีวิตคนไปสักอาทิตย์นึง จะเห็นว่าอาจจะรู้สึกว่ามันช่วงที่ผ่านมาไปไหน เปิดเพจอะไร ไถแพลตฟอร์มอะไร ก็จะเห็นสีเหลืองของธันเดอร์ออกมา
แล้วพอเห็นปุ๊บ มันจะมันจะพิเศษขึ้นถ้าเขาไปเห็นในชีวิตจริงก็คือตัวกล่องพัสดุ
ส่วนวิดีโอที่เป็นติดตามชีวิตไรเดอร์อันนี้ ก็ต้องรอให้ซีรีส์ออกไปสักประมาณ 3-4 วันก่อนให้คนดูจำหน้าคนนี้ ซึ่งก็คือบอมที่เล่นเป็นเพื่อนพระเอกได้เพื่อให้เขามาเป็น conversation starter (ตัวเริ่มบทสนทนา) ในคอมเมนต์ต่างๆ ตัววิดีโอนี้ก็เลยจะออกมาทีหลัง
ทั้งหมดทุกอย่าง พอมันมีเป้าหมายและภารกิจเดียว One team one mission มันจะไม่ยากเลย
[ ไม่เด่นจริง ไม่ทำ ]
ทุกแคมเปญที่ออกมามีความกล้าและสดใหม่แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงบางอย่าง JONGLUCKDEE บริหารความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างไร?
‘เอย’ แชร์มุมมองเรื่องนี้ว่า จริงๆ ทุกงานที่ออกไป เราจะพยายามไม่อยู่ในเซฟโซนอยู่แล้ว นี่คือ mindset แรก ถ้าเรารู้สึกว่ามันอยู่ในระยะปลอดภัยเหลือเกิน เราจะขายไม่ผ่านตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะว่า ที่ Netflix เองเขาก็มีความใจกล้า มีความ Fearless ในการขายและซื้อไอเดียอยู่แล้ว
“อันนี้เป็นเหมือนกับจริตที่เรามีร่วมกันค่ะ เป็นจริตด้วยกันก่อนว่าเรา Fearless อยู่แล้ว ทีนี้เราจะเริ่มต้นจากการที่เราจะทำให้แน่ใจว่ามันเป็นไอเดียที่มันโดดเด่นมากพอ และคุ้มค่าพอให้เราวางแผนแวดล้อมให้ความเสี่ยงนั้น มันเสี่ยงแบบถูกที่ถูกทาง ฉะนั้นทั้งหมดคือการวางแผนแบบละเอียดมากๆ และรู้ว่ากรณีที่เลวร้ายที่สุดมันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง”
อันที่ล่าสุดที่เราทำอยู่ซึ่งเป็นด่านกระโดดเชือก จริงๆ แล้วสิ่งที่เราวางแผนไว้ ค่อนข้างเผื่อความเสี่ยงไว้แล้วเยอะประมาณนึง ซึ่งในความเป็นจริงถามว่ามันเสี่ยงไหม เรายินดีให้คุณจะมาทำอะไรแล้วแต่ เพราะว่าเรามีกฏที่ประกาศออกไปอยู่แล้วที่หน้างาน เพียงแต่คนที่ไม่ได้มาหน้างานเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราสื่อสารอะไรออกไปอย่างไรบ้าง และคนที่ไม่ได้เข้ามาก็จะแสดงความคิดเห็นจากมุมมองของตัวเอง ซึ่งเรามองว่ามันก็เป็นจุดที่ทำให้คนพูดถึงอย่างหนึ่ง เราไม่ได้มีปัญหาอะไร สิ่งที่เราทำก็คือเราสร้างพื้นที่ให้คนเข้ามาพูดคุยกัน
“เราไม่ได้ต้อง crisis management อะไรเลย เพราะเราทำทุกอย่างให้ปลอดภัยมากที่สุดอยู่แล้วที่หน้างาน มีทั้งการทดสอบเพื่อหาความเร็วที่ดีที่สุด การกระโดดที่ปลอดภัยที่สุด เอาเด็กๆ ที่สูง 120 เป๊ะๆ มาลองกระโดด มีการเทสแม้กระทั่งถ้าโดดลงมาแล้ว ล้มแรงที่สุดเป็นยังไง เราสร้างเครื่องขึ้นมาด้วยวัสดุที่ปลอดภัยกับผู้เล่น และมีเบาะรองรับ ถ้าถามว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นมันคืออะไร ถ้ามันจะต้องมีคนบาดเจ็บ มันก็จะเป็นการบาดเจ็บที่มันอยู่ในวิสัยที่เหมือนเราไปเล่นรถบัมพ์ หรือว่าไปเล่นกิจกรรมที่แค่ฟกช้ำดำเขียว”
[ งาน offline ที่สร้างบทสนทนาในโลก online ]
ในยุคที่หลายที่อาจจะเน้นการทุ่มงบไปกับการตลาดออนไลน์ เสน่ห์อะไรที่ทำให้งานออฟไลน์และ activation advertising ยังคงคุ้มค่า?
‘เอย’ ยังมีความเชื่อว่าบทสนทนามันเกิดได้ในทุกแพลตฟอร์มแน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะออนไลน์ที่เป็นจุดที่ทำให้บทสนทนามันคูนตัวเองไปแบบมหาศาลเลย สุดท้ายแล้วออฟไลน์มันยังต้องมีอยู่แต่ว่าทำยังไงให้ การจดจำนี้มันมีความหมาย
จะเห็นว่าสิ่งที่เราเห็นในออนไลน์ มันมีคนพูดถึงก็จริงๆ สามารถเป็น talk of the town ได้ก็จริง แต่การที่เราสร้างประสบการณ์ตรง หรือประสบการณ์แบบครั้งหนึ่งในชีวิตขึ้นมา เราเชื่อว่ามันจะมีความหมายและสร้างความทรงจำได้ในระยะยาวกว่า
และอีกอย่างนึงคือไอเดียพวกนี้มันจะเป็นไอเดีย AI มันจะทดแทนไม่ได้อย่างแน่นอน อย่างเช่นบาง content ที่อยู่ในโลกออนไลน์ที่เรารู้สึกว่าเฮ้ย มันเหนือความคาดหมาย สิ่งที่คนจะคอมเมนต์เข้ามาคือ มันเป็น CGI หรือเปล่า แต่ว่าถ้าเราทำประสบการณ์จริงที่มันทำให้คนมาฉุกคิดว่า “เฮ้ย นี่มันจริงเหรอวะเนี่ย”
มันคือการเล่นกับความอยากรู้อยากเห็นของคนจากโลกออฟไลน์ออกไป ซึ่งวันแรกที่เราปล่อย ตอนที่เอาบันทึกตุ๊กตาแบบที่มันยังไม่เสร็จ ใส่รถเครนแล้ววิ่งไปที่เสาชิงช้า มีคอมเมนต์มหาศาลมากว่ามันคือ CG มันคือ AI
“เราชื่อในการตลาดออนไลน์นะ แต่ว่าถ้าเราได้รับโอกาสหรือว่ามีทรัพยากรในการทำให้มันเกิดประสบการณ์ที่สัมผัสได้จริง เราเชื่อว่ามันจะมีความหมายและมันจะทำให้คนไม่ลืมมันง่ายๆ ไม่เหมือนกับ Red Ocean ของในออนไลน์ สิ่งนี้มันคือ Blue Ocean ที่ตอนนี้อย่าง Netflix เขาจะค่อนข้างมีความแข็งแรงแล้ว”
สังเกตได้ว่ามันจะมีการสะสมของ reputation นี้มาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเรือข้ามฟากเป็นเรือ Going Merry ใน One Piece ถ้ามันเป็นแค่เรือออกมาในโลกออนไลน์แล้วทำเหมือนถ่ายวีดีโอเห็นในโซเชียลเฉยๆ มันก็อาจจะสร้างบทสนทนาได้แต่ว่า อาทิตย์นึงก็มีข่าวใหม่เข้ามาแทนที่ แต่เมื่อให้คนดูเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งของ activation ด้วย เขาจะไม่ลืมมัน
อย่างงาน Squid Game คือเขามาเป็น Player แล้วเขาก็ใช้พื้นที่ของเรา เป็นเวทีในการทำให้เขาทำคอนเทนต์ปล่อยออกไป มันก็เลยเป็นอะไรที่ทวีคูณไปอีก แล้วสิ่งที่เรารู้สึกว่าเอออันนี้มันค่อนข้างฟินก็คือว่า คนที่เขาไม่ได้อยากจะเล่น ถ้าเขามายืนดู แล้วในซีรีส์เรื่องนี้มันก็มี VIP มันกลายเป็นเหมือนนำซีรีส์มาสู่ชีวิตจริงแบบครบทุกมิติในที่ลานคนเมือง มันก็เลยยิ่งทำให้มันมีความหมายมากขึ้นไปอีก
ทำให้รู้สึกว่าถ้าคอนเทนต์ไหนมันถูกคิดออกจากความเป็นมนุษย์ และมีคุณสมบัติของมนุษย์หรือจิตวิทยามนุษย์ ที่มันเป็น universal truth (สัจธรรมสากล) มันทำให้ทำ activation ได้สนุก
เมื่อควบรวมการ เห็นจากชีวิตจริง สัมผัสจริง ไปตรงนั้นจริงปุ๊บ ถ่ายปุ๊บ เขาก็จะมาแชร์ออกไปในโลกออนไลน์ แล้วการที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้ คอนเทนต์ที่เขาพูดออกไปมันจะมีน้ำหนักมากกว่าแค่การแชร์วิดีโอที่ใครก็ไม่รู้ทำออกไป แต่นี่เหมือนเขาเป็น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ ทุกคนที่เข้ามาเล่นไม่ใช่เป็นแค่คนที่เข้ามาร่วมกิจกรรม แต่เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทุกคนเลย
[ คนไทยทำให้ความสร้างสรรค์ไปไกลกว่าที่คิด ]
โปรเจกต์ไหนที่ไปไกลกว่าที่เราคิด?
‘เอย’ ยอมรับว่า “โกโกวา กระโดดเชือก” ไปไกลกว่าที่คิด คือคนไทยมีครีเอทีฟ มีครีเอทีวิตี้ มากกว่าที่เราคิดมากๆ
เราว่าคนไทย มีความต้องการที่อยากจะออกมา ทำอะไรที่มันอิสระ แสดงความเป็นตัวของตัวเอง เขามี Creativity มากกว่าที่เราคิดอีก เราจะเห็นว่า ว่าคนไทยเวลาอยู่ในโซเชียล คอมเมนต์จะสนุก ไม่ว่าเรื่องซีเรียสแค่ไหน อ่านคอมเมนต์จะเพลิน
แต่ว่าพอมันเป็นโลกออนกราวด์จริงๆ แล้วก็เขาเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แปลว่าเราเป็นชนชาติที่ครีเอทีฟสูงสุดๆ จริงๆ ที่จริงเราก็รู้ๆ อยู่ประมาณนึงว่า ความคิดสร้างสรรค์คนไทยมันเจ๋งอยู่แล้ว แต่มันคือไม่ใช่แค่คนที่ทำงานครีเอทีฟ มันคือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมที่เขาเอาเบบี๋มาอุ้มกระโดดเชือก อันนี้ก็คือเหนือความคาดหมายมากๆ beyond หรือว่าหรือว่าจะมีแบบคุณลุงที่เขาน่าจะอายุ 60 ขึ้นไป แล้วเขาอยากมาเล่น เขาก็คือมาซ้อม ท่ากระโดดที่ทำให้เขาแบบกระโดดได้ผ่าน
อะไรพวกนี้ทำให้เรารู้สึกว่าคนไทยมี มีแพชชั่นมี มีดีไซน์ในการที่จะออกมาทำอะไรพวกนี้ ถ้าเรามีพื้นที่ให้เขาอีก มันคงดี เพราะว่าที่ผ่านมามันอาจจะเป็นงานลักษณะที่มันเป็นการสื่อการทางเดียว อาจจะเป็น exhibition หรือเป็นแบบ งานอะไรก็ตามที่เขาอาจจะไม่ได้มีการออกมาแสดงออกอะไรแบบเต็มที่ขนาดนี้
อันนี้คือเป็นสิ่งที่เรา รู้สึกว่าเฮ้ยเราดูเบาผู้บริโภคของเรา ไม่ได้เลย เขาเจ๋งกว่าที่เราคิดมาก
[ทำไมบางอย่างประเทศไทยจึงเป็นที่เดียวที่ทำได้]
จริงๆ ส่วนตัวเชื่อว่าระบบของแต่ละประเทศต้องการที่จะอุ้มชูความสร้างสรรค์กันทั้งนั้น
อย่าง Netflix เชื่อว่าทุกประเทศมีตั้งเป้าเดียวกันคืออยากจะให้แต่ละงานสร้างบทสนทนาได้ แต่ว่าทำไมประเทศไทย ถึงเป็นประเทศเดียวที่ทำได้ เราว่ามันมีความ คือครีเอทีฟที่คือครีเอทีฟที่ไม่ใช่แค่คิดแค่ไอเดียแต่มันคือคิดทางออก มีความเป็นนักประดิษฐ์
อย่างบริษัทเราก็มีพี่กิ๊ฟ (เขตนภินท์ โสภิญนนท์ Chief Creative Officer ของ JONGLUCKDEE) พี่กิ๊ฟเป็นมนุษย์ที่เมื่อเขามีไอเดียแล้ว เขารู้สึกว่าการทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ มันต้องมีความผิดที่ผิดทาง
ซึ่งความผิดที่ผิดทางมันแปลว่ามันต้องเป็นสูตรใหม่ทุกครั้ง มันใช้ประสบการณ์ในอดีตไม่ได้ มันใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ได้ แต่ว่ามันจะต้องเอามาปรับใช้
[แล้วประเทศไทย เปิดโอกาสให้ความสร้างสรรค์แค่ไหน? ]
“จริงๆ แล้วกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมีพื้นที่สาธารณะที่มีกิจกรรมแบบนี้เยอะขนาดนั้น การที่เราใช้พื้นที่สาธารณะของลานคนเมืองมันคือพื้นที่ๆ คนทุกชนชั้น ไปตรงนั้น เราเห็นคนนี่เค้าอาจจะเป็นคนไร้บ้าน แต่เขามีรอยยิ้มจากการที่เขามาเล่น” เอย เล่าถึงมุมมองประเทศไทยกับการเปิดพื้นที่ให้สร้างสรรค์ผลงาน
เราเปิดให้เขาเล่นได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายแล้วก็เข้ามาง่ายๆ มันเป็นโมเมนต์ที่ อย่างวันธรรมดาเราก็จะเห็นนักเรียน ใส่เครื่องแบบนักเรียน ใส่ชุดเนตรนารี ใส่ชุดคอซองมาเล่นกัน ทุกคนมาแล้วแบบมันไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นที่ของใครคนใดคนหนึ่ง มันคือพื้นที่สาธารณะจริงๆ อันนี้คือชื่นใจมากๆ
อันนี้ก็เป็นความรู้ใหม่เหมือนกันเพราะพอ มันเป็นพื้นที่สาธารณะที่แบบทุกคนเข้ามาได้ง่ายๆ ไม่ต้องแต่งตัวอะไรมา ไม่ต้องตั้งใจมา เขาอาจจะนั่งรถเมล์มาลงตรงนี้ แล้วเขาก็แวะเข้ามาดู
ไม่ใช่คนที่จะต้องมาห้าง ไม่ใช่คนที่จะต้องมีรถขับมา หรือมานั่ง BTS มาแต่ว่า คนที่เขาเดินอยู่แถวนั้น แม่ค้าแถวนั้น อีกอย่างนึงคือบรรยากาศของร้านอาหารรอบๆ ทุกคนพูดเรื่องนี้ เขากินข้าวไปด้วยแล้วเขาก็เปิดเพลงนี้ คลิปใส่ติ๊กตอก
กลายเป็นเหมือนเป็นโมเมนต์ที่ทำให้รู้สึกว่าเมืองไทยมันไม่ใช่แค่ตลาดที่จะมาทำให้ Squid Game มันดังแล้ว แต่มันเป็นเหมือนเป็นโมเมนต์ เป็น Thailand moment ที่แบบมันเอาสิ่งนี้เข้ามาอยู่ในชีวิตคนจริงๆ
อันนี้คืออันนี้คือเจ๋งมากเพราะมันเป็นออฟไลน์ เป็นประสบการณ์จริง เป็นการคุยแบบมองตากันคุยกัน ไม่ใช่แค่แค่คอมเมนต์ในออนไลน์ มันไปกลายเป็น Community ที่แบบรอบๆ ตรงนั้นแล้วคือทุกคนพูดเรื่องนี้
ในวันที่หลายคนอาจรู้สึกว่าออนไลน์คือพื้นที่เดียวของการตลาด JONGLUCKDEE กลับพิสูจน์ว่าโลกจริงยังมีมนต์ขลังมากพอจะปลุกบทสนทนาและสร้างความทรงจำที่ยากจะเลือน ในทุกกล่องพัสดุ ทุกเชือกกระโดด ทุกบรีฟที่กล้าทดลอง คือบทพิสูจน์ว่าความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยไปไกลกว่าที่ใครคาดไว้ และเมื่อมีพื้นที่ให้แสดงออก เมืองทั้งเมืองก็พร้อมจะกลายเป็นเวที ที่ให้ผู้คนกลายเป็นทั้งนักแสดง ผู้ชม และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในเวลาเดียวกัน










