ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องดื่ม โดยเฉพาะแบรนด์ชาไทยมีผู้เล่นลงตลาดเยอะขึ้น จากกระแสชาไทยบูมอย่างหนัก จนจำนวนร้านเครื่องดื่มเติบโตขึ้นกว่า 40% แต่ท่ามกลางการแข่งขันในตลาด Red Ocean นี้
หนึ่งในแบรนด์ชาไทยที่มีชื่อเสียงอย่าง KARUN กลับสามารถยืนระยะและเติบโตได้อย่างน่าสนใจ แล้ว KARUN ดำเนินธุรกิจอย่างไร ท่ามกลางตลาดแข่งเดือดนี้ TODAY Bizview จะมาสรุปให้ครบจบผ่านบทความนี้
ในงาน THAILAND C VISION SUMMIT 2025 ‘ธัญย์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญ’ ซีอีโอและผู้ก่อตั้งแบรนด์ KARUN ได้มาแชร์วิธีการดำเนินธุรกิจของแบรนด์ KARUN
[ KARUN วางแบรนด์ให้ชัด ไม่วิ่งตามเทรนด์ ]
เริ่มจากที่ ‘ธัญย์ณภัคช์’ เจ้าของแบรนด์บอกว่า เป้าหมายของ KARUN คือการเป็นหนึ่งในแบรนด์ชาไทยที่ผู้บริโภคคิดถึงทันทีเมื่ออยากกินชาไทย และการไปถึงจุดนั้น เขาไม่ได้รีบเปิดร้านตามกระแส แต่เลือกที่จะ ศึกษาตลาดอย่างจริงจัง ค้นหา pain point ของผู้บริโภค
และพบว่าคนจำนวนมากอยากดื่มชาไทยรสแท้ๆ แต่ไม่ต้องการกลิ่นกาแฟหรือเมนูผสมเหมือนในร้านกาแฟทั่วไป พูดง่ายๆ ว่าอยากเข้าร้านชาไทยที่มีแค่ชาไทย ไม่ใช่เข้าร้านกาแฟเพื่อสั่งชาไทย และยังเชื่อว่า ชาไทยคือสินค้าประจำชาติ ไม่ว่าใครจะมาเที่ยวไทยก็ต้องอยากลอง และหากจะส่งออกไปต่างประเทศ ชาไทยที่มาจากประเทศไทยจริงๆ
KARUN จึงเปิดร้านที่ “ขายเฉพาะชาไทย” เพื่อเป็นจุดยืนที่แตกต่าง และต้องมีวิสัยทัศน์ว่าไม่ได้คิดแค่ขายดีในวันนี้ แต่ถามตัวเองว่า “ถ้าอีก 5 ปี 10 ปี อยากให้แบรนด์เราเป็นแบบไหน?”
ปัจจุบันแม้เทรนด์จะเปลี่ยนจากชาไทยเป็นมัทฉะ แต่ KARUN ไม่หวั่นไหว เพราะวางกลยุทธ์เน้นทำให้แบรนด์แข็งแรงมากกว่าการวิ่งตามเทรนด์มีต้นทุนสูง กำไรต่ำ และอายุสั้น
ในทางกลับกัน KARUN เชื่อใน แบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน และลงทุนกับคุณภาพสินค้า ทำให้พรีเมียม เพื่อให้ชาไทยกลายเป็น สินค้าที่มีภาพลักษณ์ “เซ็กซี่” และเป็นที่ต้องการของคนรุ่นใหม่ แม้จะเติบโตช้าแต่ก็ยั่งยืนกว่า
[ เปิดแบรนด์ใหม่ในพอร์ต ลงเล่นในตลาด Red Ocean อย่างชาอีกรอบ ]
ในเครือ KARUN ตอนนี้ก็มีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมเติมพอร์ตเข้าไปด้วย เช่น
-
-
-
- เจริญสังขยา สังขยาสูตรของคุณแม่
- Summer Bowl ร้านสมูทที (Take Over มา)
- Avery Wong แบรนด์ชานมพรีเมียมที่มีกลิ่น รสชาติ ซับซ้อน มีเอกลักษณ์
-
-
ที่น่าสนใจคือ ‘ธัญย์ณภัคช์’ เจ้าของแบรนด์ ลงเล่นตลาดชาที่ Red Ocean มากๆ อีกครั้งด้วยการเปิด Avery Wong แบรนด์ชานมพรีเมียม โดยเขามองว่าตลาดชายังน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตสูง ซึ่งแบรนด์ที่เปิดก็ต่างจากแบรนด์ในตลาด
เพราะจากผลการศึกษา Pain Point กลุ่ม Gen Z ที่ต้องการดื่มชาที่ซับซ้อนมีหลายชั้น โดดเด่นทั้งเรื่องของกลิ่นและรสชาติ ทำให้เปิด Avery Wong ต่างจากแบรนด์ชาจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย ตอนนี้มี 2 สาขาแล้ว ภายในปีนี้คิดว่าจะขยายอีก 3 สาขาตามใจกลางเมือง
[ นักท่องเที่ยวจีนหาย KARUN ได้รับผลกระทบจริง ]
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนหาย ทาง ‘ธัญย์ณภัคช์’ เจ้าของแบรนด์ ก็บอกว่าแบรนด์ได้รับผลกระทบจริงๆ จากที่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาแล้วสั่งครั้งละ 3 แก้ว เปย์เฉลี่ยต่อบิล 300 บาท ตอนนี้ก็น้อยลง โดยเฉพาะกับสาขาสยาม พารากอน และเซ็นทรัลเวิลด์
แบรนด์เลยเริ่มปรับตัวเข้าสู่นักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลางมากขึ้น โดยเริ่มจากการปรับป้ายร้านให้มีฮาลาลประกอบ
สำหรับกลุ่มลูกค้าคนไทยแบรนด์จะขยายไปย่านราชพฤกษ์ที่มีหมู่บ้านอยู่เยอะๆ มากขึ้น เพราะกลุ่มนี้วันหยุดมีกำลังซื้อหน้าร้านสูงมาก ถ้าเทียบกับกรุงเทพกรีฑาที่จะได้เรื่องความถี่จากคนสั่งเดลิเวอรี่มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ ‘ธัญย์ณภัคช์’ ตั้งเป้าไว้ว่าจะมียอดขาย 260 ล้านบาท แม้ช่วงครึ่งปีแรกจะเหนื่อยหน่อย และในปีหน้าจะเริ่มขยายธุรกิจ KARUN ไปยังต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์
ทิ้งท้ายด้วยแนวคิดการบริหารฉบับ ‘ธัญย์ณภัคช์’ เธอบอกไว้ว่า “องค์กรเราปลูกฝังเสมอว่า ตอนขาขึ้นอย่าดีใจกับมันนาน” เพราะการวางแผนคือสิ่งที่ต้องทำตอนที่ทุกอย่างดูดี เพื่อเตรียมรับวันที่ทุกอย่างอาจไม่เป็นใจ
เธอยังใช้ความรู้ด้านการเงินที่เรียนมาเพื่อบริหารความเสี่ยง และเชื่อในตัวเลข จนธุรกิจมีความมั่นคงมากพอ แม้จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่โตเร็วที่สุด










