โลกของธุรกิจซาลอนหรือเสริมความงาม ถือว่าไม่ใช่ Fast Industry เพราะกว่าที่ผู้บริโภคจะเปิดใจลองร้านใหม่ๆ ต้องใช้เวลา และการสะสมประสบการณ์ของร้านมากพอที่จะเจาะตลาดใหม่ๆ ได้ โดยเฉพาะการเปิดตลาดต่างประเทศ
แต่ล่าสุด ‘กีกี้ บิวตี้ สเปซ’ (KIKI Beauty Space) ของ ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์ ผู้บริหารบริษัทนับเงินไม่ทัน จำกัด ประกาศแผนขยายออกนอกประเทศไทย เตรียมจะเปิดสาขาแฟรนไชส์ร้านแรกบนพื้นที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ช่วงเดือนมีนาคมปี 2569 โดยเป็นการขยายแฟรนไชส์ธุรกิจลักชัวรี บิวตี้ซาลอนรายแรกที่ไปสู่ต่างแดนได้สำเร็จ

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ก้องภพ ปรับปรุงระบบหลังร้าน, การแตกไลน์บริการใหม่ๆ ภายในร้าน สร้าง awareness ทำแบรนด์ดิงให้แข็งแรง และที่สำคัญคือ ในปี 2567 เป็นครั้งแรกที่ใช้ระบบ Data Analytic เต็มรูปแบบ ด้วยการทุ่มงบกว่า 3 ล้านบาท นำระบบแพลตฟอร์ม CRM อันดับหนึ่งของโลกมาใช้ในการดูแลลูกค้า ซึ่งปกติระบบนี้จะนิยมใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ระดับโลก
ก้องภพ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “กีกี้ บิวตี้ สเปซ เป็นซาลอนแห่งเดียวในประเทศไทยที่ทำระบบนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ใช้ระบบ Data Analytic ธุรกิจมีทิศทางชัดเจนมากขึ้น รวมถึงมีรายได้การเติบโตที่ดีขึ้นแบบสวนกระแสเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอยู่ในขาลง แต่มีสาขาเมกา บางนา ที่ได้รับผลกระทบรายได้ลดลง 20% จากนักท่องเที่ยวจีนลด”
[ ร้านแฟรนไชส์แรกในสปป.ลาว มูลค่า 20 ล้านบาท ]
การขยายแฟรนไชส์ไปที่สปป.ลาว มูลค่า 20 ล้านบาท เป็นครั้งแรกที่ กีกี้ฯ ยอมเปิดระบบแฟรนไชส์ โดยจะใช้โมเดลเดียวกับที่สาขาสยามสแควร์ เป็นรูปแบบธุรกิจ One Stop Service เหมือนกัน
“ปัจจุบัน กีกี้ บิวตี้ สเปซ มีลูกค้าที่เป็นสมาชิกอยู่มากกว่า 50,000 ราย (อายุเริ่มต้นตั้งแต่ 20 ไปจนถึง 60 ปี) ไม่รวมกับฐานลูกค้าประจำ และฐานลูกค้าวอล์คอินเข้ามาในร้านอีกไม่ต่ำกว่า 60,000 คน เรา personalized ข้อมูลลูกค้าทุกอย่างที่เราต้องการ เราครีเอทแพลตฟอร์มสำหรับกีกี้ บิวตี้ สเปซขึ้นมาโดยเฉพาะ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราขายแฟรนไชส์สูงถึง 20 ล้านบาทได้ เพราะระบบของเราแข็งแรง และระบบนี้จะนำไปใช้กับสาขาที่ลาวด้วย”

ก้องภพ อธิบายเพิ่มว่า “เราเชื่อว่า เราจะเติบโตได้ดีต้องมี Back Office ที่แข็งแรงก่อน ซาลอนไม่ใช่ธุรกิจแบบ Fast Industry กว่าที่คนจะตัดสินใจมาใช้บริการ เราจึงให้ความสำคัญกับดาต้ามากๆ เพราะทุกคนที่เดินเข้ามา คือ โอกาสในการเปลี่ยนจากลูกค้าใหม่มาเป็นลูกค้าประจำ”
“แม้เราจะเป็นบิวตี้ เซอร์วิส แต่การที่เราจะเพิ่มรายได้ สร้าง Revenue หรือสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สุดท้ายแล้ว ดาต้าไม่เคยหลอกใคร แต่เราวางดาต้าได้ถูกต้องแม่นยำไหม การเก็บข้อมูลตรงนี้ เราวางทุกอย่างละเอียดรอบคอบมากสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม รวม Data Insight ทุกอย่างไปจนถึงการเก็บดาต้ากลุ่มสินค้าด้วย”

ก้องภพ ยังกล่าวอีกว่า “ลูกค้าที่ติดต่อแฟรนไชส์เข้ามาเป็นลูกค้าของกีกี้อยู่แล้ว ใช้บริการมานานประมาณ 2 ถึง 3 ปี เกิดความประทับใจและมองว่าทำไมถึงไม่มีแบบนี้ที่ลาวบ้าง มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่า การที่อยากจะมีบิวตี้สแตนดาร์ดเหมือนที่ไทยในประเทศเขา มองว่าเป็นการเริ่มต้นที่คล้ายๆ กับตอนที่เราเปิดกีกี้ เพราะในวันแรกกีกี้ก็ยังไม่มี one stop service”
นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนขยายไปในประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และเวียดนาม (ยังรอการคอนเฟิร์ม) ซึ่ง ‘เวียดนาม’ มีแนวโน้มมากที่สุดตอนนี้ แต่ถือว่าเป็นประเทศที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง ต้องมีการทำมาร์เก็ตรีเสิร์ชก่อนไป กีกี้ฯ ไม่ได้แค่อยากขายแล้วให้มันจบๆ แต่อยากช่วยพาร์ทเนอร์ด้วย
มาดูโมเดลของกีกี้ฯ ในปัจจุบัน และเป็นโมเดลธุรกิจที่จะใช้ในตลาดสปป.ลาวในปีหน้าด้วย มีอะไรน่าสนใจบ้าง?
- 4 แผนกหลักที่มีอยู่แล้ว คือ KIKI Hair (ทำผม), KIKI Mani padi (ทำเล็บ), KIKI Face (บริการต่อขนตา แวกซ์คิ้ว) และ Hair Extensions (บริการต่อผม)
- แผนกที่ 5 บริการล่าสุดคือ KIKI Makeup (บริการแต่งหน้า)
- ใช้กลยุทธ์ One Stop Service เพราะยึดคอนเซ็ปต์เป็น ‘Luxury Beauty Destination’ สวยได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
- ขับเคลื่อนระบบ CRM Ecosystem ด้วยระบบ Data Driven
- ใช้ระบบ Data Analytic เต็มรูปแบบ ตั้งแต่ปี 2567

[ หมดยุคสาขาเยอะยอดเยอะ เน้นสร้างรายได้ทางอื่น ]
ก้องภพ กล่าวถึงแผนในอนาคต แต่จะไม่เน้นการเปิดสาขามากนัก เขาให้เหตุผลว่า การลงทุนเปิดซาลอนหนึ่งสาขาใช้เงินค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะการวางตำแหน่งแบรนด์ในระดับพรีเมียม การลงทุนต่อสาขาไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ไม่รวมเมนเทนอุปกรณ์ต่างๆ
อย่างเช่น เตียงสระผมที่มีราคาหลักแสน, เครื่องไดร์เป่าผมราคา 20,000 บาทต่อตัว, การก่อสร้างดีไซน์เป็นงานบิ้วอินทั้งหมดค่าแรงค่อนข้างสูง ยิ่งแบรนด์พรีเมียมก็ยิ่งต้องเลือกไพรม์โลเคชั่น และมองถึงไทม์มิ่งตอนนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูง เลยอยากทำบริการอะไรใหม่ๆ ในพื้นที่เดิมที่มีอยู่
เช่น ‘บริการเมคอัพ’ เข้ามาในพื้นที่เดิม fix cost ยังเหมือนเดิม แต่ก็มีอะไรใหม่ๆ เพื่อนำเสนอลูกค้าเพิ่ทมความหลากหลาย รวมถึง การเพิ่มทรีทเมนท์ตัวใหม่เพื่อบำรุง หรือมีนวัตกรรมใหม่ สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า กีกี้ฯ พยายามโฟกัสกับการ diversify services เพื่อตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น ดีกว่าเลือกขยายแบรนด์ออกไปในหลายๆ จุด

“เราไม่ได้อยู่ในยุคที่สาขาเยอะยอดขายจะเยอะ เราไม่ขยายสาขาในไทยเพิ่มแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้สร้างมูลค่าของแบรนด์ให้เพิ่มขึ้นได้”
“แบรนด์ของเราโตขึ้นทุกปี รายได้ปีนี้คาดหวังให้โตขึ้น 20% ซึ่งปีนี้น่าจะปิดที่ประมาณ 110 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะมีการปรับสัดส่วนของโพรดักส์ KIKI Beauty ให้เป็น 50% ของพอร์ตธุรกิจ รวมถึงการรีแบรนด์และปรับราคาของโพรดักส์ซึ่งเป็น luxury Self-Care ให้มีความชัดเจนขึ้น ราคาเข้าถึงง่ายขึ้นและแบรนด์ดูสนุกขึ้น”
โปรดักส์ใหม่ 4 กลุ่มเพิ่มในพอร์ตธุรกิจ เน้นเข้าตลาดรีเทลเพิ่มยอดขาย ได้แก่
- KIKI Hair Care ผลิตภัณฑ์ที่ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะ
- KIKI Care สินค้าประเภท Bath and Body ทั้งหมด เช่น สครับผิว ครีมอาบน้ำ บอดี้ ออยล์ โลชั่น
- KIKI Perfume น้ำหอม ซึ่งเป็นกลิ่นที่ปรับแต่งขึ้นมาเองทั้งหมดจะไม่ซ้ำกับแบรนด์อื่น
- KIKI Cosmo คอสเมติกไลน์ ที่ขายผ่านช่องทาง Shopee Lazada และ Line Shopping สร้างยอดขายต่อเดือน เฉพาะแค่ Shopee (ขายแค่แชมพู) ยอดขายเดือนละเจ็ดหลัก และตอนนี้กำลังมีการพัฒนาโปรดักส์ใหม่ที่จับมือกับโรงงานที่เกาหลีใต้

ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ และทำธุรกิจบิวตี้ในไทยมา 5 ปีแล้ว ก้องภพ มองว่าความท้าทายของธุรกิจกีกี้ฯ เริ่มขึ้นตั้งแต่ 2 ปีก่อน เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลงทำให้การจับจ่ายของคนไทยลดลง จึงเป็นจุดยากสำหรับแบรนด์ที่จะทำให้โตขึ้นในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
เขาเชื่อว่าจากความ loyalty ที่ลูกค้ามีต่อกีกี้ฯ ที่ผ่านมา รวมถึงการปรับโครงสร้างเพื่อให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด แบรนด์ยังคงเติบโตแต่อาจจะไม่ได้โตแบบก้าวกระโดด ส่วนเป้าหมายใหญ่ปีหน้า กีกี้ฯ อยากจะโตอย่างน้อย 200% แม้ว่าค่อนข้างยาก แต่ยังมีโอกาสสำเร็จเพราะไลน์สินค้าใหม่ๆ และกลยุทธ์ธุรกิจพร้อมแล้ว
เขียนโดย : ปณิตา สารคณา










