กรณีศึกษา ‘เกียวโต’ เมืองหลวงเก่าญี่ปุ่นเสี่ยงล้มละลาย นักท่องเที่ยวหาย ขาดรายได้ จนหนี้ท่วม

กรณีศึกษา ‘เกียวโต’ เมืองหลวงเก่าญี่ปุ่นเสี่ยงล้มละลาย นักท่องเที่ยวหาย ขาดรายได้ จนหนี้ท่วม

ธุรกิจ

‘ล้มละลาย’ ไม่ได้เกิดได้แค่กับ ‘บุคคล’ เท่านั้น แต่ ‘รัฐ’ และ ‘รัฐท้องถิ่น’ เองก็สามารถล้มละลายได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ ‘กรีซ’ ที่เกิดวิกฤตหนี้สาธารณะ จนทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะเสี่ยงล้มละลายมาก่อน หรือแม้แต่เรื่องราวของ ‘อาร์เจนตินา’ ที่ประสบปัญหาจนเงินแทบกลายเป็นกระดาษ 

แล้วถ้าเราบอกว่าสถานะของ ‘เกียวโต’ อดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นกำลัง ‘เสี่ยง’ ต่อการล้มละลาย เพราะประสบปัญหาหนี้ท่วมล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับ ‘เกียวโต’ TODAY Biziview จะพาไปดู

[ เกิดอะไรขึ้นกับ ‘เกียวโต’ ? ]

‘เกียวโต’ เป็นหนึ่งในเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางไปยังญี่ปุ่น จากประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองในฐานะเมืองหลวงที่ยาวนานร่วมหนึ่งพันปี ที่สั่งสมวัฒนธรรมอันเก่าแก่ดั้งเดิม ตั้งแต่สถาปัตยกรรมไปจนถึงสิ่งละอันพันละน้อยของเมืองและธรรมชาติที่สวยงามตลอดสี่ฤดูกาล

แต่ปัจจุบัน ‘เกียวโต’ กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงล้มละลาย หลังจากปีงบประมาณล่าสุดเมืองมีหนี้กว่า 50,000 ล้านเยนหรือประมาณ 14,000 ล้านบาท สะสมเพิ่มเข้าไปในหนี้ก้อนใหญ่ที่เมืองมีอยู่แล้วกว่า 860,000 ล้านเยน หรือประมาณ 242,700 ล้านบาท

ทำให้เกียวโตตกที่นั่งลำบากจากการแบกรับหนี้มหาศาล

คำถาม คือ ‘เกียวโต’ ที่เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งที่สุดเมืองหนึ่งในญี่ปุ่นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ยังไง

[ ทำไมเกียวโตถึงหนี้ท่วม ]

จากข้อมูลของรัฐบาลท้องถิ่นเมือง ‘เกียวโต’ ในปี 2019 เมืองเกียวโตมีนักท่องเที่ยวจากในและนอกประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกว่า 53.52 ล้านคน สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวรวมกว่า 1.24 ล้านล้านเยนที่สูงติดต่อกันถึง 1 ล้านเยนเป็นปีที่ 4 ขณะที่มูลค่าการท่องเที่ยวนั้นคิดเป็น 12.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของเมือง

แม้ปี 2019 จะเป็นปีที่เมืองเกียวโตมีแนวโน้มของการเติบโตทางด้านการท่องเที่ยวที่ดี และมีรายรับเกินกว่า 1 ล้านล้านเยน แต่สถานการณ์หลังจากนั้นกลับแย่ลงอย่างรวดเร็ว

ในปี 2021 ‘ญี่ปุ่น’ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ญี่ปุ่นเพียง 245,900 คน ลดลง 99.2% จากระดับก่อนเกิดโรคระบาด แน่นอนว่าเมื่อสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติผนวกรวมกับการเดินทางภายในประเทศที่ยังไม่ปกติย่อมส่งผลกระทบต่อ ‘รายได้’ ของเมือง ‘เกียวโต’ ด้วย

จากรายงานของสำนักข่าว CCTV Finance นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโต ยอมรับว่า รัฐบาลท้องถิ่นของเมืองเกียวโตมีหนี้สินล้นพ้นตัว หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นมีแนวโน้มว่า เมืองอาจจะล้มละลายภายใน 10 ปีนับจากนี้

นอกจาก ‘การท่องเที่ยว’ แล้วเมืองเกียวโตยังมี ‘ปัจจัย’ อื่นๆ อีกหลายประการที่ช่วยสะสมจนเป็นเส้นทางสู่การล้มละลายด้วย

[ หนี้ก้อนใหญ่จาก ‘รถไฟใต้ดิน’ ]

หนึ่งในปัจจัยที่สะสมหนี้ปริมาณมหาศาลให้กับเมืองเกียวโต คือ รถไฟสายโทไซ (Tozai) รถไฟฟ้าใต้ดินที่เปิดอย่างเป็นทางการในปี 1997 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางรอบเมืองได้ด้วยขนส่งสาธารณะ 

การก่อสร้างรถไฟสายโทไซใช้งบประมาณไปกว่า 5.5 แสนล้านเยน (หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท) เกินงบประมาณไปสองเท่าจากแผนที่วางไว้ในตอนแรก แต่ถึงแบบนั้นรถไฟสายโทไซก็ยังไม่สามารถบริหารจัดการให้ดึงดูดผู้โดยสารให้ได้จำนวนที่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งไม่ได้พึ่งมาเกิดขึ้นหลังจากโควิด-19 แต่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว

แม้อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารจะขยับขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไหลเข้าสู่ญี่ปุ่นในทุกๆ ปี ก่อนเจอกับโควิด-19 แต่เมืองเกียวโตก็ยังต้องจ่ายเงินออกไปกว่า 1 แสนล้านเยน (หรือราว 2.8 หมื่นล้านบาท) เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แม้เมืองจะมี ‘โครงสร้างภาษี’ ที่มีปัญหาอยู่แล้ว

[ ไม่ใช่แค่รายจ่าย รายได้ก็มีปัญหา ]

และไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ ‘รายได้’ ของเมืองเกียวโตเองก็มีปัญหา

เพราะจุดขายของเกียวโตคือ ‘ประวัติศาสตร์’ อันยาวนานกว่า 1,200 ปี ที่มาพร้อมกับสถาปัตยกรรมโบราณในเมือง ทำให้เมืองเกียวโตมีกฎหมายจำกัดความสูงของอาคารเพื่อไม่ให้ทำลายทัศนียภาพที่สวยงามและมีคอนโดมิเนียม-ตึกสูงน้อยมาก

นอกจากนั้น เมืองเกียวโตยังมี ‘ศาลเจ้า’ และ ‘วัด’ เต็มเมือง ขณะที่กฎหมายของญี่ปุ่นยกเว้นภาษีให้กับองค์กรทางศาสนาที่ได้รับการรับรอง ทำให้เมืองเกียวโตไม่สามารถเก็บภาษีที่ดินและอาคารได้มากนัก

ขณะที่ ‘ฐานภาษี’ เองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้านรายรับของเมือง เพราะเกียวโตมีประชากรกว่า 40% เป็น ‘นักเรียน’ และ ‘ผู้สูงวัย’ ที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่แทบจะไม่ต้องจ่ายภาษีแล้ว โดยจากรายงานของ YTV News ระบุว่า สัดส่วนของผู้จ่ายภาษีที่อยู่อาศัยในเมืองเกียวโตประมาณ 43.1% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในบรรดาเมืองต่างๆ

แต่เมืองก็ยังมีบริการจัดหารถบัสและรถไฟให้พลเมืองอายุ 70 ปีขึ้นไปได้เดินทางฟรีหรือมีส่วนลด รวมถึง

บริการดูแลเด็กที่ดำเนินการโดยรัฐบาล ซึ่งถือว่าดีที่สุดในประเทศ 

[ แผนสู้หนี้ของเกียวโต ]

ปัจจุบัน เมืองเกียวโตอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลายและการคืนอำนาจบริหารสู่รัฐบาลกลาง เพราะถ้าหากปล่อยทุกอย่างเป็นอย่างนี้ต่อไปเมืองจะต้องเจอกับหนี้สะสมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดจุดที่จัดการไหว ยกเว้นแต่จะสามารถลดค่าใช้จ่ายหรือหารายได้ 1.6 แสนล้านเยน (4.4 หมื่นล้านบาท) ให้ได้ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2025

‘เมืองเกียวโต’ จึงวางแผนปฏิรูปเมือง โดยการปรับโครงสร้างทางการเงินหลายอย่าง ตั้งแต่ลดพนักงานของรัฐลง 550 ตำแหน่ง ทบทวนความช่วยเหลือทางสังคมอย่างการปรับอายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิ์ได้รับส่วนลดค่าโดยสารจาก 70 เป็น 75 ปี หรือปรับเงินอุดหนุนศูนย์รับเลี้ยงเด็ก 

รวมถึงปรับโครงสร้างและเรียกเก็บภาษีบางอย่าง เช่น ภาษีบ้านหลังที่สอง รวมถึงการปรับขึ้นค่าโดยสารขนส่งสาธารณะบางส่วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหลายฝ่ายที่มองว่าแผนปฏิรูปเบาเกินไปและอาจไม่สามารถช่วยให้เมืองรอดพ้นจากวิกฤตได้ สุดท้ายแล้วเมืองเกียวโตจะทำสำเร็จหรือไม่นั้นยากจะตอบได้และต้องจับตากันต่อไป

ที่มา

SiraromWriterSirarom
นักข่าวธุรกิจการตลาดที่เคยวิ่งในสนามอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ชอบเรื่องราวของผู้คนและหวังว่าในทางหนึ่งข่าวธุรกิจการตลาดจะสร้างแรงกระเพื่อมสู่สังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง | [email protected]

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง