มีอยู่ไม่กี่เรื่องในชีวิตของคนคนหนึ่งที่แต่ละคนจะภาคภูมิใจถึงขีดสุด จนสามารถยึดเกาะสิ่งนั้นเป็นสรณะของชีวิตได้ ทำให้ความสำเร็จที่สามารถวัดผลทั้งในเชิงตัวเลขและเชิงประจักษ์นั้นหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘หน้าที่การงาน’ ที่จะกลายเป็นความภาคภูมิใจและสรณะของชีวิตใครหลายคน
ลองมองไปรอบๆ ตัวของเราดูก็ได้ว่า ในช่วงวัยประมาณนี้ ความสำเร็จแบบไหนที่จะกลายเป็น ‘Peace of mind’ ชิ้นใหญ่ของชีวิตได้ บันไดที่ทำให้คุณขยับไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นคืออะไร หากไม่ใช่หน้าที่การงานอันก้าวกระโดด หรือ Career path ที่เป็นไปอย่างใจคิด
จริงๆ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้า ‘หน้าที่การงาน’ ของทุกคนเติบโตอย่างที่ต้องการ
ทว่าในช่วงระยะหลายปีที่ผ่านมานี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงาน ไม่ใช่แค่ในไทยเท่านั้น แต่ทั่วโลกก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้เช่นกัน
ในวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา คนมากมายต้องเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงานแบบตั้งตัวไม่ทัน จากที่เคยมี Career path ในสายอาชีพที่ตั้งเป้าหมายไว้อีกไกลหลายสิบปี ต้องเปลี่ยนงานในช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน เพื่อความอยู่รอด เพื่อให้ไม่ต้องกลายเป็นคนตกงาน หลายคนต้องย้ายไปทำงานในสายงานที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย และไม่เคยสนใจมาก่อน
บทความจาก Harvard Business Review ระบุถึงการเปลี่ยนงานแบบนี้ว่า มันเหมือนกับเรากำลังเริ่มต้นบทใหม่ด้วยการเขียนลงในกระดาษเปล่า มากกว่าการลบออกแล้วเขียนลงบนกระดานไวต์บอร์ดที่สามารถเช็ดทำความสะอาดได้
แม้จะปรับเปลี่ยนการทำงานได้ แต่ตัวตนของเราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด ในทางกลับกัน เรามักจะนำประสบการณ์ทำงานในอดีตมาปรับใช้บางส่วนร่วมด้วย
ความน่ากลัวของการยึดติดกับ ‘อาชีพเดิม’ บวกกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอาจนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า ‘Lingering Identities’
‘Lingering Identities’ พูดถึง ‘ตัวตน’ หรือ ‘อัตลักษณ์’ ที่หายไปและหลงเหลืออยู่ เมื่อเราต้องเปลี่ยนจากทำงานงานหนึ่งไปสู่งานอีกงานหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงไปสู่สายงานที่ไม่ถนัด ตำแหน่งที่ไม่เจนจัด จนส่งผลต่อตัวตนที่แท้จริงของเราว่ามันกำลังจะหายไปหรือไม่
งานวิจัยของซาราห์ วิตต์แมน (Sarah Wittman) เผยว่า กลุ่มตัวอย่าง ‘พนักงานใหม่’ ประมาณครึ่งหนึ่งพบว่า ตนเองล้มเหลวในบทบาทใหม่ทั้งหมด
โดยหากให้ลองทบทวนว่ามาจากสาเหตุใด พวกเขามองว่าเกิดจากเรื่องของความเหมาะสมและความเข้ากันได้กับตำแหน่งใหม่ในที่ทำงานใหม่ โดยความเหมาะสมพอดีเหล่านี้ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าหรือความสามารถจากอาชีพการงาน การใช้ชีวิตในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจึงทำให้เกิดหน้าที่การงานใหม่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่สะสมมาในอดีต
ซาราห์มองว่า ความล้มเหลวที่ว่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยา จากอัตลักษณ์หนึ่งไปสู่อีกอัตลักษณ์หนึ่ง หรือการเปลี่ยนผ่านตัวตนจากตัวตนหนึ่งไปสู่ตัวตนหนึ่ง
หากกำลังเผชิญกับสภาวะเช่นนี้อยู่ ก่อนอื่นอยากให้คุณรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกคนจะผ่านไปได้อย่างไม่ยี่หระ การเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนแต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้เลย
ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าให้ทำความเข้าใจกับ ‘ตัวตน’ ที่หลงเหลืออยู่ของคุณก่อน ก่อนจะกระโดดไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ คุณต้องรู้ว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่ในจุดไหน มีภาพรายละเอียดในหัวไหมว่า ตัวตนของคุณก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้นำสิ่งนี้มาวิเคราะห์ต่อยอดไปสู่บทบาทใหม่ได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริหารสายแฟชั่นแห่งหนึ่งที่ตัดสินใจจะพาตัวเองไปสู่อุตสาหกรรมประกันภัย แค่ฟังดูก็รู้สึกถึงความแตกต่างของสายงานแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะทำไม่ได้เลย Core value ในการทำงานของเขาคืออะไร?
คือความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานหรือเปล่า คือการเป็นคนมี Growth mindset ที่ไม่ว่าจะต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็สามารถทำได้เป็นอย่างดีเลยหรือไม่ เพื่อนร่วมงานเก่าๆ ของคุณมักนิยามว่าคุณเป็นคนมีนิสัยการทำงานอย่างไร สิ่งเหล่านี้แหละคือ ‘Value’ ที่แท้จริงของคุณที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนผ่านไปสู่หน้าที่การงานแบบใด ก็ไม่ได้ลดทอนความเก่งของคุณไปเลย
สภาวะโลกที่ผันผวนไปเรื่อยๆ อาจทำให้อนาคตมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ที่เราคาดไม่ถึงอีกก็เป็นได้ แต่ในทางกลับกัน นั่นหมายความว่า ยังมี Room อีกมากมายที่เปิดรอเราอยู่อีกเช่นเดียวกัน ความสำเร็จในหน้าที่การงานอาจเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จให้กับคนรอบข้างที่มองเข้ามาหาคุณ และแน่นอนว่า ทำให้โอกาสอื่นๆ อีกมากมายเดินเข้ามาไม่ขาดสาย
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าหลงลืมตัวตนที่เป็นใจกลางสำคัญของเราเอง ชอบทำอะไร อยากพาตัวเองไปอยู่ในที่แบบไหน สิ่งที่เรามีอยู่เหมาะกับอะไร เปิดโอกาสให้ตัวเองเยอะๆ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีจากบทบาทที่คุณไม่เคยได้รับก็ได้นะ
ที่มา










