“ลอรีอัล” ผลักดันคนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างโลกการทำงานที่หลากหลายและเท่าเทียม

“ลอรีอัล” ผลักดันคนรุ่นใหม่ พร้อมสร้างโลกการทำงานที่หลากหลายและเท่าเทียม

ธุรกิจ

ใครที่เพิ่งเรียนจบหรือกำลังมองหางานอยู่ คงรู้สึกเหมือนกันว่าตลาดแรงงานมันโหดขึ้นทุกปี คนรุ่นใหม่ไม่ได้แข่งขันแค่กับเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่ยังต้องเจอกับ AI ที่เข้ามาแทนที่งานบางส่วนมากขึ้น รวมถึงความผันผวนทางเศรษฐกิจที่ทำให้หลายองค์กรชะลอการจ้างงาน อีกทั้งเรื่องของภาพลักษณ์ที่ถูกเหมารวมว่า “เด็กรุ่นใหม่ไม่สู้งาน” ไปจนถึงระบบการทำงานที่ไม่ยืดหยุ่นพอกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่

แต่ในอีกด้านหนึ่ง เด็กรุ่นใหม่ก็เต็มไปด้วยพลังและมุมมองใหม่ ๆ ที่โลกการทำงานต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจ ความคิดสร้างสรรค์ การเติบโตมากับเทคโนโลยี และการใส่ใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่เคย

คำถามคือองค์กรแบบไหนกันที่จะมองเห็นคุณค่าตรงนี้ พร้อมเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้พิสูจน์ตัวเอง เรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์จริง?

หนึ่งในตัวอย่างองค์กรระดับโลกที่ตอบโจทย์นี้ได้ชัดเจน คือ ลอรีอัล กรุ๊ป ที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความเท่าเทียมมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เรื่องอายุ เพศสภาพ ชาติพันธุ์ ไปจนถึงสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่สนับสนุนให้ทุกคนกล้าเป็นตัวเอง กล้าแสดงความคิดเห็น และมีความสุขในการทำงาน

[ เชื่อในคนรุ่นใหม่ สนับสนุนก้าวแรกในโลกการทำงาน ]

ปี 2025 ลอรีอัลเปิดโอกาสให้คนอายุไม่เกิน 30 ปี กว่า 25,000 คนทั่วโลก เข้าร่วมโครงการ L’Oréal For Youth หรือ L4Y จุดเริ่มต้นนี้ไม่ได้เป็นแค่งานแรก แต่เป็นโอกาสให้ลองทำจริง เรียนรู้สิ่งที่ไม่ได้มีสอนในห้องเรียน และเข้าใจโลกการทำงานจริง ๆ ทำให้พวกเขาได้ลองค้นหาว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง และสร้างโอกาสให้ได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพอย่างมั่นใจ อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสการได้รับการจ้างงานให้คนรุ่นใหม่

หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดในการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ของ ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย คือโปรแกรม Management Trainee (MT) หรือผู้จัดการฝึกหัด ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาจบใหม่และผู้เริ่มมีประสบการทำงาน จำนวน 26 คนต่อปี ได้เข้ามาเรียนรู้งานในแต่ละแผนกของบริษัท เป็นพื้นที่ให้เด็กรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดและไอเดียของตัวเองอย่างมั่นใจ ทำงานร่วมกับทีมที่หลากหลาย ทั้งเรื่องวัย เพศสภาพ และมุมมองที่แตกต่างกัน ทำให้พวกเขาได้เห็นมุมมองต่าง ๆ เรียนรู้การทำงานเป็นทีม และรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างแท้จริง

แม้ผู้เข้าร่วมโปรแกรมส่วนใหญ่จะยังไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่ลอรีอัลมองว่านี่คือโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร และเติบโตไปตามเส้นทางที่บริษัทต้องการ พร้อมวางรากฐานให้พวกเขากลายเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ของลอรีอัลในอนาคต

[ องค์กรปรับตัว ตอบโจทย์วิถีชีวิต Work Life Balance ]

คนรุ่นใหม่ยุคนี้ไม่ได้มองแค่เงินเดือนหรือความมั่นคงอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับ Work Life Balance มากขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยหลักในการเลือกองค์กรที่จะร่วมงานด้วย พวกเขามองหาที่ทำงานที่ยืดหยุ่น สนับสนุนการเรียนรู้ เติบโตไปพร้อมกับงาน และยังให้เวลาในการใช้ชีวิตส่วนตัวควบคู่ไปด้วย นี่จึงเป็นโจทย์สำคัญขององค์กรยุคใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ดึงดูดและรักษาพนักงานรุ่นใหม่ได้

ที่ ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย พนักงานสามารถ Work From Home ได้ 2 วันต่อสัปดาห์ แต่ยังสนับสนุนให้มาพบปะกันในออฟฟิศบ้าง เพราะเชื่อว่าการเจอหน้ากันยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมต่อและสร้างทีมเวิร์กในการทำงาน

เรื่องสวัสดิการของลอรีอัลก็เรียกได้ว่าเกินมาตรฐาน โดยมี Flex Leave ให้พนักงานลาหยุดเพื่อพักผ่อนหรือทำธุระส่วนตัวอีก 15 วัน เพิ่มจากวันลาพักร้อนประจำปีเดิม นอกจากนี้ยังผลักดัน Work Life Balance ด้วยการออกแนวทางการทำงานต่าง ๆ เช่น ไม่ส่งหรือสั่งงานในวันหยุด และนอกเวลางาน และไม่มีการนัดประชุมในวันจันทร์ช่วงเช้า เพื่อไม่ให้พนักงานต้องเตรียมการประชุมในวันเสาร์-อาทิตย์ และสามารถใช้เวลาจันทร์ช่วงเช้าเตรียมความพร้อมการทำงานในสัปดาห์ 

[ ทุกคนมีความสำคัญ ไม่ว่าช่วงวัยไหน ]

ไม่ได้มีแค่คนรุ่นใหม่ที่เจออุปสรรคในการหางานเท่านั้น สำหรับผู้มีประสบการณ์ แม้จะเก่งกาจแค่ไหน การเปลี่ยนงานก็ไม่ได้ง่าย เพราะอายุอาจกลายเป็นตัวแปรที่หลายบริษัทใช้พิจารณา แต่ความจริงหลายตำแหน่งงานยังคงต้องการความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เฉพาะทาง

ที่ ลอรีอัล พนักงานกว่า 15,000 คนทั่วโลก หรือราว 15% ของบริษัท มีอายุมากกว่า 50 ปี แสดงให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้มองแค่ตัวเลขอายุ แต่ให้ความสำคัญกับความรู้และประสบการณ์ที่สะสมมาอย่างแท้จริง

เพื่อตอบโจทย์การทำงานร่วมกันของทุกเจเนอเรชัน จึงเป็นที่มาของโครงการ L’Oréal for All Generations ที่เปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้รับแรงบันดาลใจและคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ขณะเดียวกันพนักงานรุ่นใหญ่ก็ได้แลกเปลี่ยนมุมมองใหม่ ๆ และเรียนรู้เทคโนโลยีหรือวิธีการทำงานแบบใหม่จากคนรุ่นหลัง นี่จึงเป็นภาพขององค์กรที่ทุกคนมีที่ยืน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ สามารถเติบโต เรียนรู้ และแบ่งปันประสบการณ์ไปด้วยกันตลอดชีวิตการทำงานได้

[ เปิดโอกาสให้ทุกคนแตกต่าง แต่เท่าเทียมกัน ]

ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก (Diversity, Equity & Inclusion) ไม่ใช่แค่แนวคิดแต่คือหัวใจของการทำธุรกิจจนก้าวขึ้นเป็นบริษัทความงามอันดับหนึ่งที่แข็งแกร่ง เป็นองค์กรเปิดกว้างทั้งเรื่องของอายุ เพศสภาพ ชาติพันธุ์ ไปจนถึงสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ

ตั้งแต่ก้าวแรกของการสมัครเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของลอรีอัล ผู้สมัครสามารถเลือกไม่ระบุเพศสภาพบนใบสมัครได้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการพิจารณาบนพื้นฐานความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสมกับตำแหน่งงานอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังมีโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมการไม่แบ่งแยกในที่ทำงาน เช่น หลักสูตรอบรมเรื่องอคติโดยไม่รู้ตัว การพัฒนาผู้นำที่เปิดกว้าง และกลุ่มพนักงานที่สนับสนุนความหลากหลายทั้งเรื่องเพศ เชื้อชาติ และอัตลักษณ์ LGBTQ+ พนักงานทุกคนจึงมีโอกาสพูด แสดงความคิดเห็นและแสดงออกอย่างเป็นตัวเอง

สวัสดิการก็สะท้อนแนวคิดนี้เช่นกัน เช่น สิทธิลาคลอดที่ครอบคลุมผู้หญิง ผู้ชาย และคู่สมรสเพศเดียวกัน รวมถึงโปรแกรม Management Trainee ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย ไม่จำกัดแค่มหาวิทยาลัยชื่อดัง โอกาสนี้ช่วยให้ทุกคนเริ่มต้นเส้นทางอาชีพได้อย่างเท่าเทียม

ลอรีอัลเป็นตัวอย่างองค์กรที่ทำให้เห็นชัดว่า “คุณเป็นตัวเองได้” คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การทำงานและแสดงความคิดอย่างมั่นใจ พร้อมเติบโตไปกับทีมที่หลากหลาย ทั้งวัย เพศสภาพ และมุมมองที่แตกต่างกัน ในขณะเดียวกันคนรุ่นเก่าก็ยังมีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญสู่คนรุ่นใหม่ ช่วยเติมเต็มและขับเคลื่อนองค์กรให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ลอรีอัลเป็นองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากเข้าร่วม และคนรุ่นเก่ายังอยากอยู่ เพราะที่นี่ทุกคนมีที่ยืน สามารถเป็นตัวเอง และเติบโตไปด้วยกันได้จริง

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง