ทุกวันนี้ บริษัทเครื่องสำอางหลายแห่งเริ่มทำการตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์รักษ์โลกมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ LUSH แบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติอังกฤษ ที่เปิดร้านอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองหลายแห่ง
วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จัก LUSH แบรนด์เครื่องสำอางที่รักษ์โลก และมีวิธีการดำเนินธุรกิจที่แตกแถวจากธุรกิจเครื่องสำอางใหญ่ ๆ ระดับโลก
LUSH จากร้านเล็ก ๆ สู่ระดับโลก
ธุรกิจของ LUSH เริ่มต้นขึ้นในปี 2538 หรือ 27 ปีที่ผ่านมา หลังจากมาร์ก คอนสแตนติน (Mark Constantine) และ อลิซาเบธ เวียร์ (Elizabeth Weir) ทำงานร่วมกันในร้านเสริมสวย และพบว่าพวกเขาสนใจเรื่องผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากธรรมชาติเหมือนกัน จึงเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยเริ่มจากการผลิตสินค้าส่งให้กับร้าน The Body Shop ก่อน จากนั้นก็ร่วมหุ้นกับเพื่อนอีก 3 คนเปิดร้าน Cosmetics To Go ร้านขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามแปลก ๆ เช่น Bath bomb แชมพูและน้ำมันนวดอัดก้อนแบบสบู่ แต่ธุรกิจถูกปิดตัวไป จึงรวมตัวกันมาเปิดร้าน LUSH อย่างในทุกวันนี้
ชูจุดขายรักษ์สิ่งแวดล้อม
นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ ทีมผู้ก่อตั้ง LUSH ยึดมั่นในเรื่องการดำเนินธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ซึ่งสามารถสะท้อนผ่านวิสัยทัศน์ของบริษัทอย่าง ‘We believe’ คือ
- เชื่อมั่นในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์จากผัก ผลไม้ที่สดและออร์แกนิคที่สุด ใช้น้ำมันหอมระเหยที่ดีที่สุดให้ผู้บริโภค ไม่ใส่สารกันบูด และไม่ใช้บรรจุภัณฑ์
- เชื่อมั่นในการใช้วัตถุดิบจากบริษัทที่ไม่ทำการทดลองในสัตว์และมนุษย์
- เชื่อมั่นว่าพนักงานที่มีความสุขจะผลิตสินค้าที่ดีออกมาให้ลูกค้า
- เชื่อมั่นในการสร้างประสบการณ์ที่ดีร่วมกัน มองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา และพร้อมที่จะล้มและลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่อยู่เสมอ
- เชื่อมั่นว่าทุกคนคนมีเสรีภาพในการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทั่วโลก
- เชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์มีความคุ้มค่าให้ลูกค้า
เพราะฉะนั้น ผลิตภัณฑ์ของ LUSH จึงมีความแตกต่างจากแบรนด์เครื่องสำอางอื่น ๆ ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่เป็นมังสวิรัติ (100% Vegetarian) และวีแกน (Vegan) การทำผลิตภัณฑ์แบบ handmade ทุกชิ้น และไม่ใช้บรรจุภัณฑ์ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
“พนักงานของ LUSH ส่วนมากเป็นผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียมของมนุษย์และสัตว์กันอยู่แล้ว ทำให้ในการทำงาน เรามักคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้มาเป็นอันดับแรก ๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไร นั่นส่งผลให้ทุกอย่างที่เราลงมือทำ เราจะคำนึงถึงผลกระทบต่อโลกของเราก่อนเสมอ ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากกลุ่มลูกค้า และพูดต่อ ๆ กัน รวมถึงเราไม่มีการทำการตลาดด้วยการจ้าง เพราะเราเชื่อว่า การตลาดแบบออแกนิกส์จะส่งผลดีมากกว่า ทั้งกับตัวลูกค้าเองรวมไปถึงแบรนด์อีกด้วย” ฉัตรตฤณ บุญรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายการประชาสัมพันธ์ โซเชียลมีเดีย และอีเวนท์ กล่าว
นอกจากนี้ LUSH ยังเชื่อในความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ จึงไม่นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะมองว่าการระดมทุนอาจจะทำให้บริษัทต้องรับแรงกดดันมากจนเกินไป จนไม่สามารถรักษาวิสัยทัศน์ และคุณค่าที่บริษัทยึดถือไว้ได้
LUSH ใช้นโยบายมอบหุ้นบริษัทให้พนักงานของตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาอุดมการณ์ดั้งเดิมเอาไว้ได้ ซึ่งตอนนี้มีพนักงานถือหุ้นของ LUSH หรือที่เรียกว่า the LUSH Employee Benefit Trust อยู่ราว 10%
เตรียมขยายตลาดในประเทศไทย
ผู้บริหาร LUSH Thailand มองว่าเล็งเห็นศักยภาพในการขยายแบรนด์เข้ามาในประเทศไทย จึงเปิดตัว LUSH สาขาแรกที่ห้าง Siam Center ในเดือนธันวาคม 2559
“เมื่อเราเปิดสาขาแรกได้ไม่นานกระแสการตอบรับดีจนต้องมีการทยอยขยายสาขาเพิ่มขึ้นตามลำดับ ถือว่ายอดขายในปีแรกเกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้สูงมาก ๆ” เพ็ญพิชญาญ์ อเล็กซานเดอร์บอก
ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของ LUSH ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับการแช่น้ำ เช่น Bath bomb หรือ Bubble bar แต่ด้วยวัฒนธรรมไทยที่ไม่ได้มีวัฒนธรรมแบบในต่างประเทศ LUSH Thailand จึงเน้นการโปรโมทสินค้าอื่น ๆ ที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เช่น น้ำหอม มาสก์หน้าสด (Fresh Face Masks) ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุด เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแทน
ปัจจุบัน LUSH Thailand อยู่ไทยมาแล้วกว่า 7 ปี มีทั้งหมด 8 สาขา และ pop-up store 1 สาขา อยู่ตามหัวเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา และเชียงใหม่ ซึ่ง LUSH Thailand มีแผนจะขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต
อ้างอิง
https://www.lushusa.com/stories/article_our-fresh-handmade-story.html
https://www.lushusa.com/stories/article_we-believe-statement.html
