เมื่อพูดถึง “มาเก๊า” หลายคนอาจนึกถึงเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ใกล้เกาะฮ่องกง อยู่ภายใต้เขตบริหารปกครองพิเศษของจีนแผ่นดินใหญ่ เกาะแห่งนี้มีขนาดกะทัดรัดเพียง 118 ตารางกิโลเมตร (ขนาดเล็กกว่าจังหวัดสมุทรสงคราม ประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ) ส่วนประชากรมีเพียงราวๆ 685,900 คน ซึ่งนับรวมชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เมืองแห่งนี้จึงมีความโดดเด่นด้วยพหุวัฒนธรรม เปิดกว้างรับความหลากหลาย ที่จริงไม่ใช่แค่ในยุคนี้ แต่มาเก๊าดั้งเดิมมาได้ผสมผสานวัฒนธรรมของประเทศโปรตุเกสมายาวนานกว่า 400 ปี ก่อนที่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของจีนเมื่อปี ค.ศ.1999
ถึงผ่านมานานแล้ว แต่วัฒนธรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกกับตะวันตกยังคงอยู่และเคล้ากันอย่างลงตัว ดังนั้นเมื่อใครได้มีโอกาสมาเยือนมาเก๊า สิ่งที่คุณจะสัมผัสคือสถาปัตยกรรมตามหัวมุมถนนที่มีกลิ่นอายตะวันตกตั้งตระหง่าน ร้านอาหารโปรตุเกสในตรอกซอย เชื้อเชิญให้เข้าไปลิ้มลอง ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆ ของเมือง
TODAYBizview ได้มีโอกาสไปเยือนมาเก๊าในเดือนตุลาคม ปี 2025 กับสำนักงานการท่องเที่ยวของรัฐบาลมาเก๊า (MGTO) เป็นอีกทริปที่เราได้เห็นถึงความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวในมาเก๊า โดยเฉพาะย่านเมืองเก่าที่ยังคงเอกลักษณ์เสน่ห์ดั้งเดิมของเมืองไว้อย่างครบถ้วน ขณะเดียวกันเรายังได้ไปเยือนโซนรีสอร์ตใหญ่ที่เต็มไปด้วยธุรกิจความบันเทิงเต็มรูปแบบ สะท้อนว่ามาเก๊าเป็นเมืองที่มีตัวเลือกในการท่องเที่ยวมากมาย เพื่อให้ผู้มาเยือนได้เลือกสรรตามสไตล์ความชอบของตนเอง
เมืองเปิดเสรีที่เติบโตด้วยโมเดลเศรษฐกิจเฉพาะตัว
ก่อนที่จะเข้าสู่ทริปของเราในครั้งนี้ ขอพูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจของมาเก๊ากันก่อนเล็กน้อย แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่เศรษฐกิจของมาเก๊าเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างในปี 2024 ตัวเลข GDP อยู่ที่ 4.03 แสนล้านปาตากา หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% เมื่อเทียบปีต่อปี และยังขยายตัวต่ออีก 1.8% ในครึ่งแรกของปี 2025 ปัจจุบัน GDP ต่อหัวของมาเก๊าอยู่ที่ 588,000 ปาตากา หรือราว 2.65 ล้านบาท สูงกว่าประเทศไทยหลายเท่าตัว
จุดแข็งสำคัญของมาเก๊าคือนโยบายทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้าง รัฐบาลกำหนดอัตราภาษีที่ต่ำ และไม่มีข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนเงินตรา ช่วยสร้างบรรยากาศดึงดูดการลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว “ศูนย์รวมความบันเทิงและรีสอร์ตครบวงจร” (Integrated Resorts)
แน่นอนว่าธุรกิจนี้ยังคงเป็นฐานรายได้ที่สำคัญของมาเก๊า แต่สิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นคือการเปลี่ยนโฟกัสของรัฐบาลไปสู่การพัฒนาหลากหลายด้านมากขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในมิติอื่นๆ ที่มากกว่าความบันเทิงรูปแบบเดิม เห็นได้จากการปล่อยโฆษณา จัดแคมเปญหรืออีเวนท์ต่างๆ เน้นความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ความบันเทิงในรูปแบบครอบครัว ไปจนถึงที่เที่ยวตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อให้มาเก๊าเป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม

ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมาเก๊า รวมกว่า 26.89 ล้านคน (ข้อมูลในเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568) โดยเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเกือบ 14% โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวไทย เพิ่มขึ้นถึง 19.8% หรือเกือบ 110,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่น่าสนใจคือแต่ละคนมีแนวโน้มพักยาวขึ้นเฉลี่ย 2.3 คืนต่อทริป แสดงให้เห็นว่า มาเก๊าสามารถดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนอย่างจริงจัง มากกว่าการมาเล่นกาสิโนแค่ชั่วคราว
เที่ยวมาเก๊า ไม่ได้มีแค่กาสิโน แต่คือศูนย์รวมทางวัฒนธรรม
การมาเยือนมาเก๊าในครั้งนี้ เราใช้เวลานานถึง 4 วัน 3 คืน เพื่อท่องเที่ยวมาเก๊าให้ได้ครบมากที่สุด หลังจากลงจากเครื่อง AirMacau ก็มีรถบัสมารับเราจากสนามบินเพื่อเดินทางไปยังย่าน Ruin of St. Paul’s แลนด์มาร์กท่องเที่ยวสถาปัตยกรรมเก่าแก่อย่างโบสถ์ St. Paul’s ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองที่สะท้อนประวัติศาสตร์การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมโปรตุเกสและตะวันออก ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มีตรอกซอย ชุมชน และอาคารเก่าตกแต่งแนวยุโรปผสมจีนซึ่งเป็นจุดขายเชิงวัฒนธรรมที่หาได้ยาก

แถบนั้นคือ Leal Senado Square เป็นลานกว้างใจกลางเมืองที่เป็นศูนย์รวมของสถาปัตยกรรมสไตล์โปรตุเกส อาคารสีพาสเทลเรียงรายให้บรรยากาศอบอุ่นและมีชีวิตชีวา โดยรอบเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่เล็กๆ และถนนสายเก่าที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยว นอกจากนั้น เรายังได้ไปเยี่ยมชม โรงแรม Central Macao ซึ่งอยู่ใกล้ๆ เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปยอดนิยม ทั้งบนดาดฟ้าที่มองเห็นวิวเมืองมุมสูง ห้องพักตกแต่งสไตล์วินเทจ และห้องอาหารที่กลิ่นอายยุโรปผสมตะวันออก

ใครอยากดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนต้องจอยกับกิจกรรมนี้ “นั่งรถบัสเปิดประทุน” (Open Top Bus) ชมวิวรอบเมืองมาเก๊า ตลอดเส้นทางเราจะได้เห็นบรรยากาศที่แตกต่างของเมือง ทั้งโซนเมืองเก่า และย่านโคไท (Cotai Strip) ที่เต็มไปด้วยโรงแรมหรูระดับโลก

ไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ โชว์น้ำพุเต้นระบำหน้าโรงแรม Wynn Palace ในช่วงเวลาราวๆ 3 ทุ่ม น้ำพุถูกออกแบบให้พุ่งสูงหลายสิบเมตร พร้อมแสงสีเสียงและเพลงประกอบที่เปลี่ยนไปตามจังหวะ ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา ถือเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ที่สวยงามและโรแมนติกของค่ำคืนในมาเก๊า

ต่อกันวันที่สองกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่น่าจะถูกใจสายซิ่ง กับพิพิธภัณฑ์กรังด์ปรีซ์มาเก๊า (Macao Grand Prix Museum) สถานที่บอกเล่าประวัติศาสตร์กว่า 70 ปีของการแข่งขันรถระดับตำนานอย่าง “มาเก๊ากรังด์ปรีซ์” สนามแข่งรถบนถนนจริงเพียงไม่กี่แห่งในโลก ภายในจัดแสดงรถแข่งรุ่นหายาก เครื่องแต่งกายและรูปปั้นของนักแข่งชื่อดังมากมาย รวมถึงโชว์เทคโนโลยีการแข่งในแต่ละยุค พร้อมโซนจำลองสนามให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงผ่านซิมูเลเตอร์

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ของคนรักมอเตอร์สปอร์ตเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนพลังและจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นของเมืองเล็กอย่างมาเก๊าที่สามารถจัดงานแข่งรถระดับโลกได้อย่างต่อเนื่องทุกปี


หลังชมความตื่นเต้นและพลังของสนามแข่งระดับตำนาน เราเปลี่ยนบรรยากาศมาสู่ความอบอุ่นและละเมียดละไมของย่านประวัติศาสตร์ St. Lazarus District ย่านที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของอาคารเก่า โทนสีอบอุ่น โซนนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ALBERGUE 1601 ร้านอาหารโปรตุกีสขึ้นชื่อที่หลายคนบอกว่า “มาแล้วเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในลิสบอน”

ตัวร้านตั้งอยู่ในคอมเพล็กซ์เก่าแก่สมัยอาณานิคมโปรตุเกส และถูกรีโนเวทให้กลายเป็นพื้นที่ร้านค้าฟีลลิ่งอบอุ่น รายล้อมไปด้วยกำแพงสีเหลืองมัสตาร์ด ประตูไม้สีเขียว มุมกระจกเล็กๆ ที่ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย บรรยากาศเงียบสงบแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาแบบมาเก๊าแท้ๆ

เมนูอาหารของร้าน ALBERGUE 1601 รังสรรค์โดยเชฟ Pedro Almeida เลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและสไตล์การทำอาหารแบบดั้งเดิม นำเสนอเมนูโปรตุเกสพื้นเมืองหลากหลายเมนูให้เราได้ลิ้มลอง ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบ สงบ ให้ความรู้สึกได้หยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้านจริงๆ
ตกค่ำมากันต่อที่ Cotai Strip พื้นที่ศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลกของมาเก๊า ตั้งอยู่ระหว่างเกาะไทปา (Taipa) และโคโลอาน (Coloane) ซึ่งเกิดจากการถมทะเลเชื่อมทั้งสองเกาะเข้าด้วยกัน จุดเด่นของโซนนี้คือการเป็นที่ตั้งของ “รีสอร์ตครบวงจร” (Integrated Resorts) เราเปลี่ยนบรรยากาศเข้าไปชมโชว์สุดอลังการอย่าง “The House of Dancing Water” ที่โรงละครของอาณาจักร City of Dreams Macau ถือเป็นการคืนชีพของโชว์ระดับตำนานที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างรอคอย ด้วยโปรดักชันตระการตา ผสมผสานศิลปะการแสดงเข้ากับเทคนิคแสง สี เสียง พร้อมฉากน้ำขนาดมหึมาที่เปลี่ยนพื้นที่ตรงกลางให้กลายเป็นมหาสมุทรและพื้นเวทีได้ภายในไม่กี่วินาที



การแสดงถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ความกล้าหาญ และการผจญภัย ผ่านนักแสดงมืออาชีพจากหลากหลายประเทศ ที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มข้นทั้งด้านกายภาพและเทคนิคการดำน้ำลึกกว่า 7 เมตรในบางฉาก เรียกได้ว่าเป็นโชว์ที่ผสมผสานศิลปะ การออกแบบ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันอย่างลงตัว สามารถเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงไคลแม็กซ์ที่มีทั้งการแสดงกลางน้ำ การกระโดดจากที่สูง และการเต้นผสานการเคลื่อนไหวอย่างสวยงามและแข็งแรง ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมโชว์นี้ถึงได้รับคำยกย่องให้เป็นหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย

ต่อกันอีกวันกับการเก็บตกย่านน่าสนใจในมาเก๊า อย่างโซน Three Lamp District พื้นที่ชุมชนเก่าใจกลางเมืองที่มีเสน่ห์แบบท้องถิ่น เดิมมีเสาไฟสามต้นเป็นจุดสังเกตจนได้ชื่อเรียกติดปาก ปัจจุบันเป็นวงเวียนและถนนการค้าที่เต็มไปด้วยร้านค้าขนาดย่อม แผงลอย และร้านอาหาร ตั้งแต่ของกินพื้นบ้านจนถึงร้านสไตล์โมเดิร์น ทำให้ย่านนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสชีวิตประจำวันของคนมาเก๊าได้แท้จริง และยังสามารถเดินเชื่อมไปยัง Red Market ได้สะดวก ทำให้ Three Lamps เป็นจุดแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเห็นมุมชีวิตท้องถิ่นมากกว่าภาพรีสอร์ตหรู

หรือหากอยากสัมผัสอีกด้านของมาเก๊าที่แตกต่างจากเขตเมืองเก่า ลองแวะมาที่ย่านโคโลอาน (Coloane Village) หมู่บ้านประมงเล็กๆ อยู่ริมทะเลทางตอนใต้ของมาเก๊า ที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและจังหวะชีวิตที่ความสโลว์ไลฟ์กว่าเมืองหลักอย่างเห็นได้ชัด ที่นี่เหมาะมากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการ “หลีกหนีความวุ่นวาย” ซึมซับบรรยากาศของความสงบและธรรมชาติ

หมู่บ้านโคโลอานยังคงรักษาเสน่ห์ของบ้านเรือนสไตล์โปรตุเกสดั้งเดิมไว้ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นผนังสีพาสเทล หน้าต่างไม้บานเก่า หรือโบสถ์สีเหลืองอ่อนที่ตั้งอยู่ริมจัตุรัสกลางหมู่บ้าน ทุกมุมคือภาพถ่ายที่สวยราวโปสการ์ด มีร้านอาหารแลคาเฟ่หลายแห่งให้คุณแวะมาเช็คอินได้ไม่ซ้ำ
และอีกหนึ่งจุดหมายสำคัญที่สายมูไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนมาเก๊า คือ “วัดอาม่า” (A-Ma Temple) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของมาเก๊า สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 15 เพื่ออุทิศให้แก่เทพธิดาอาม่า หรือ Mazu เทพีแห่งท้องทะเลผู้คุ้มครองนักเดินเรือและชาวประมง วัดแห่งนี้ถือเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมของชาวมาเก๊า เพราะว่ากันว่าชื่อ “Macau” เองก็มาจากคำว่า “A-Ma-Gau” ซึ่งหมายถึง “อ่าวของอาม่า” นั่นเอง

เมื่อเดินทางมาถึงวัดอาม่า จะสังเกตเห็นสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณที่งดงามและแฝงไปด้วยรายละเอียดทางศิลปะ ทั้งประตูหินแกะสลัก โคมไฟจีนสีแดงสด และควันธูปที่ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศสงบและศักดิ์สิทธิ์ ผู้มาเยือนสามารถเดินไล่ขึ้นไปตามทางลาดหินเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลแต่ละจุด คุณสามารถเดินขึ้นไปจนถึงศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเล็กๆ ให้มองเห็นวิวเมืองและทะเลเบื้องล่างได้อย่างสวยงาม

นอกจากความสงบทางจิตใจที่ได้จากการสักการะ วัดอาม่ายังสะท้อนให้เห็นถึงความกลมกลืนระหว่างศาสนาและวัฒนธรรมในมาเก๊า ทั้งพุทธเต๋าและขงจื๊อที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน จึงไม่น่าแปลกใจที่วัดแห่งนี้จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site)
ปิดท้ายทริปมาเก๊าด้วยการข้ามไปยัง เกาะเหิงฉิน (Hengqin) เมืองเศรษฐกิจพิเศษของจีนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองมาเก๊าเพียงไม่กี่นาที ผ่านการเดินทางด้วยสะพานเชื่อม Hong Kong–Zhuhai–Macao ช่วยให้มาเก๊ากลายเป็นฮับการเดินทางของภูมิภาค Greater Bay Area ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเชื่อมต่อข้ามเมืองได้สะดวก ซึ่งช่วยขยายขอบเขตตลาดนักท่องเที่ยวและการค้าผ่านมาเก๊าไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ได้ง่าย


เกาะเหิงฉิน (Hengqin) กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการท่องเที่ยวและนวัตกรรมระดับโลก เพราะรัฐบาลจีนตั้งใจพัฒนาให้เป็น “เมืองคู่แฝด” ของมาเก๊าในอนาคต เริ่มต้นการเยือนที่โครงการเรียนรู้และพักผ่อนในมุมสุขภาพที่ศูนย์วัฒนธรรมสมุนไพรจีน (TCM Cultural Center) ที่บอกเล่าเรื่องราวศาสตร์การรักษาด้วยสมุนไพรแบบดั้งเดิมได้อย่างน่าทึ่ง

ส่วนใครที่ชื่นชอบความตื่นเต้นต้องไม่พลาด Chimelong International Ocean Resort และ Chimelong International Circus ศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจร รวมทั้งการแสดงระดับโลกที่ผสมผสานศิลปะ กายกรรม และเทคนิคแสงสีเสียงอย่างตระการตา นอกจากนี้ยังมีโรงแรมขนาดใหญ่หลายแห่ง สวนสนุก โชว์สัตว์น้ำแสนรู้ ไปจนถึงร้านค้า ร้านอาหารมากมาย ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว




เหิงฉิน จึงไม่ใช่แค่เมืองพักผ่อน แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนอนาคตของมาเก๊าได้อย่างชัดเจน ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และวัฒนธรรมที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว การได้มาที่นี่คือการเห็นภาพของฝาแฝดมาเก๊ายุคใหม่ที่ผสานความหรูหรา ความสร้างสรรค์ และความยั่งยืนเข้าไว้ในที่เดียว
ที่จริงแล้ว ทริปนี้ยังมีสถานที่อีกมากมายที่เราได้ไปเยือน ทั้งจุดท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ คาเฟ่เล็กๆ ซุกซ่อนในตรอกเก่า ไปจนถึงแลนด์มาร์กใหม่ๆ ที่สะท้อนการเติบโตของเมืองมาเก๊าในทุกวันนี้ แต่ละที่ล้วนมีเสน่ห์และเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป ทำให้เราสัมผัสได้ว่ามาเก๊าไม่ใช่เพียงเมืองกาสิโนหรือความหรูหราจากโรงแรมระดับเวิลด์คลาส แต่ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เก่าแก่ ความทรงจำทรงคุณค่า และชีวิตผู้คนที่หลากหลาย
เมืองเล็กที่มีวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่
จากการมาเยือนมาเก๊าในครั้งนี้ ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า มาเก๊ากำลังเปลี่ยนผ่านตัวเองอย่างมีทิศทาง ด้วยการยึดการท่องเที่ยวเป็นแก่นหลัก พร้อมเชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น
- MICE เศรษฐกิจดิจิทัล
- การแพทย์แผนจีน
- การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
- การพัฒนาบริการทางการเงินสมัยใหม่
สิ่งเหล่านี้สะท้อนชัดผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเมือง การปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวให้มีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้น ตลอดจนการร่วมพัฒนาพื้นที่กับเขตเหิงฉิน เพื่อเป็นประตูเชื่อม ด้านนวัตกรรม งานวิจัย เทคโนโลยี และบริการสุขภาพครบวงจร ซึ่งไม่เพียงช่วยกระจายรายได้ แต่ยังเปิดโอกาสให้เมืองเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
มาเก๊าจึงไม่ได้เป็นเพียงเมืองแห่งแสงสีและกาสิโนอย่างที่ใครหลายคนเคยจดจำ แต่กำลังกลายเป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการพักผ่อนระดับโลกที่ผสานประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปะ อาหาร ผู้คนและความร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว หากยังคงรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง มหานครเล็กๆ แห่งนี้ก็ย่อมมีศักยภาพที่จะเป็นหนึ่งในเมืองตัวอย่างของโลก ที่ไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน แต่ยังพร้อมเผยให้เราได้ค้นพบมุมมองใหม่ๆ ของเมืองเล็กๆ ที่มีพลังเศรษฐกิจขนาดใหญ่แห่งนี้










