‘มาเก๊า’ ดินแดนแห่งคาสิโนที่มีรายได้จากการพนันสูงที่สุดในโลก เริ่มฟื้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมานี้ (ม.ค. – ธ.ค. 2566) โดยยอดนักท่องเที่ยวมาเก๊ากลับมาแตะระดับ 20 ล้านรายได้สำเร็จ ถือเป็นยอดนักท่องเที่ยวที่สูงสุดในรอบ 3 ปี (2564-2566)
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวกลับไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก หลัง ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีของจีน ต้องการปรับโมเดลดินแดนแห่งบาป (ในสายตาเขา) ไปสู่เมืองที่มีทั้งการพักผ่อนและท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวมากขึ้นแบบ ‘ลาสเวกัส’
ในช่วงก่อนโควิด-19 รายได้ส่วนใหญ่ของมาเก๊า (ประมาณ 80%) มาจากธุรกิจคาสิโน ต่างจากลาสเวกัสที่เริ่มมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่ใช่การพนัน เช่น โชว์ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม มาเก๊าเริ่มวางแผนลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่การพนันเพิ่มอีกกว่า 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.55 แสนล้านบาท เพื่อหวังดึงดูดนักท่องเที่ยว
ประกอบกับในช่วงปีก่อนโควิด-19 (2562) แม้ยอดนักท่องเที่ยวจะแตะจุดสูงสุด แต่รายได้จากภาษีคาสิโนกลับปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดในช่วง 6 ปีก่อนหน้า (2556-2561) กว่า 25%
ทั้งนี้ เนื่องจากกลุ่มอาชาญากรมักใช้ธุรกิจคาสิโนเป็นตัวกลางในการฟอกเงิน นำมาสู่การปรับโมเดลมาเก๊าของสี จิ้นผิง
ถึงอย่างนั้น การหารายได้จากธุรกิจอื่นๆ ยังเป็นเรื่องยาก แม้จะมาจากคนหมู่มาก แต่กำลังจับจ่ายใช้สอยน้อย ต่างจากธุรกิจการพนัน ที่แม้จะมาจากคนกลุ่มน้อย แต่กำลังจับจ่ายใช้สอยมาก
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ประเทศแม่อย่างจีนที่กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวของมาเก๊าชะลอตัวลงด้วย
อย่างไรก็ตาม สี จิ้นผิง ได้ส่งนโยบายไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ ให้เน้นการลงทุนในพื้นที่เศรษฐกิจปากอ่าว (Greater Bay Area) ซึ่งประกอบไปด้วยฮ่องกง มาเก๊า กวางโจว และเซินเจิ้น
ขณะที่ภาคเอกชนอย่างกลุ่มกาแล็กซีเอนเทอร์เทนเมนต์ (Galaxy Entertainment Group) อาสาจะลงทุนสร้างสวนสนุกแบบไฮเทคฯ ที่แรกของมาเก๊า พร้อมกับโปรเจ็คอื่นๆ ร่วมกับนักพัฒนาอีกหลายราย เพื่อสร้างรายได้จากธุรกิจความบันเทิงอื่นๆ ที่ไม่ใช่การพนัน
ที่มา










