7 หุ้นนางฟ้า ทำกำไรมากสุดในโลก กำลังครอบงำตลาดหุ้นในระดับน่ากังวลและอันตราย

7 หุ้นนางฟ้า ทำกำไรมากสุดในโลก กำลังครอบงำตลาดหุ้นในระดับน่ากังวลและอันตราย

เตือน 7 หุ้นนางฟ้า ทำกำไรมากสุดในโลก กำลังครอบงำตลาดหุ้นในระดับน่ากังวลและอันตราย เสี่ยงเข้าใกล้ฟ้องสบู่ ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐยังเป็นความเสี่ยง

Business Insider รายงานข่าวว่า หุ้นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ฉายา 7 หุ้นนางฟ้า หรือ หุ้นเทคโนโลยี ‘Magnificent 7’ ได้แก่ Apple, Amazon, Alphabet, Meta, Microsoft, Nvidia และ Tesla กำลังครอบงำตลาดหุ้นในระดับที่น่ากังวล

Jim Reid หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์และการวิจัยเฉพาะเรื่องระดับโลกของ Deutsche Bank กล่าวในรายการพอดแคสต์ Merryn Talks Money ว่า หุ้นกลุ่มนี้มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 13 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 4 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในฐานะนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจมองว่าการพุ่งขึ้นของกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี 7 นางฟ้า มีความไม่สมเหตุสมผลและกระแสนี้ก็กำลังเตือนให้เห็นว่าอนาคตอาจมีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจ

เขาตั้งข้อสังเกตว่า หุ้นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีดูเหมือนจะถูกประเมินมูลค่ามากเกินไปอย่างไร้เหตุผลเมื่อเทียบกับการสร้างผลกำไร และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั้งหมดของประเทศอื่นๆ จะเห็นว่ามีการเก็งกำไรที่มากกว่ามาก

ขณะเดียวกันปัจจัยที่ต้องมองประกอบกันว่าแม้ธนาคารกลางสหรัฐจะพยายามใช้วิธีการซอฟท์แลนดดิ้งไม่ให้กระทบเงินเฟ้อมากนัก แต่เชื่อว่าอย่างไรซะภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ยังมีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว

ผนวกกับสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐปีนี้ จะต่างจากปี่แล้วตั้งแต่การออมของชาวอเมริกันและการช่วยพยุงการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพื่อป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีที่แล้วนั้น จะเห็นว่าเงินสดสำรองนั้นกำลังจะหมดลงภายในสิ้นปีนี้ และอีกไม่นานบรรดาผู้ประกอบการนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้มหาศาลจะต้องรีไฟแนนซ์ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นมาก

มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ Deutsche Bank กำลังเตือนและห่วงว่าหุ้นเทคโนโลยีที่ครองตลาดและสถานการณ์ที่จะกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยืดเยื้ออาจทำให้เสี่ยงเข้าใกล้ภาวะฟองสบู่ที่นักลงทุนไม่สามารถที่จะนิ่งเฉยได้

ขณะที่ก่อนหน้านี้ Bloomberg เคยรายงานข่าวว่า มีนักวิเคราะห์จาก Bank of America มองว่า ความคล้ายคลึงกันระหว่างหุ้นเทคโนโลยีในปัจจุบันและฟองสบู่ครั้งก่อนๆ ชี้ให้เห็นว่า 7 หุ้นนางฟ้าใกล้เข้ามาแล้ว โดยอ้างถึงตัวชี้วัดจำนวนหนึ่ง เช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตร การประเมินมูลค่า และการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งบ่งชี้ว่ายังมีกำไรเพิ่มเติมอยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งมองว่าเป็นตัวแทนสำหรับสภาวะทางการเงินที่ตึงตัว เป็นวิธีทั่วไปที่ทำให้ฟองสบู่ตลาดหุ้นแตก

Chalathip ThirasoonthrakulWriterChalathip Thirasoonthrakul
Business and Economics Editor
[email protected]

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง