
วันที่ 2 มี.ค. เวลา 19.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ แถลงภายหลังประชุมหารือแนวทางการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ร่วมกับผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, สมาคมโรงพยาบาลเอกชน, ผู้แทนมหาวิทยาลัย, ผู้แทนสถานพยาบาลอื่น, ผู้แทนผลิตหน้ากากอนามัย ใน 5 ประเด็น คือ การผลิต การกระจายหน้ากาก การส่งออก มาตรการที่รัฐช่วยเหลือ และการดำเนินคดี
.
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้โรงงานผลิต 11 แห่ง มีกำลังการผลิต รวม 36 ล้านชิ้นต่อเดือน ถ้าจะให้เร่งการผลิต ก็สามารถดำเนินการได้ถึง 38 ล้านชิ้นต่อเดือน ส่วนวัตถุดิบที่ต้องใช้จากจีน ไต้หวันและอินโดนีเซีย ปัจจุบันไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบจากจีนได้ ส่วนไต้หวันยังสามารถนำเข้าได้แต่ต้องลดจำนวนลงเพราะการนำเข้ามีปริมาณที่จำกัด ขณะที่อินโดนีเซียยังสามารถนำเข้าได้แต่ได้มีการเลื่อนเวลาการส่งออกและขึ้นราคาวัตถุดิบเกือบเท่าตัว

สำหรับมาตรการที่กำหนดร่วมกันในการประชุมวันนี้ ประกอบด้วย
.
1.กระทรวงพาณิชย์จะส่งตัวแทนเข้าไปประจำอยู่ที่โรงงานเพื่อรับแจ้งปริมาณการผลิตและกำกับดูแลในเรื่องของสต็อกให้ได้ตัวเลขที่ชัดเจน โดยตัวเลขการผลิตทั้งหมดนั้นจะส่งมาที่ศูนย์กระจายหน้ากากอนามัยซึ่งประกอบด้วยผู้แทนของกรมการค้าภายใน และตัวแทนของกระทรวงสาธารณสุข
.
ส่วนเรื่องของต้นทุนการผลิตนั้นกรมการค้าภายในจะเข้าไปช่วยถ้ามีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจริง โดยดูจากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าและองค์ประกอบอื่นๆ ก็จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อที่จะเข้าไปช่วยเหลือต่อไปเพื่อให้เดินหน้าผลิตต่อได้ในราคาที่กำหนดคือชิ้นละ 2.50 บาท

2.การกระจายหน้ากากอนามัย จะมีการจัดตั้งศูนย์กระจายหน้ากากอนามัยสำหรับการจัดสรรหน้ากากอนามัยไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการกระจายไปยังกระทรวงสาธารณสุขแล้ว 350,000 ชิ้นต่อวัน แต่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนแจ้งว่ายังมีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการ จะให้กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการทบทวนตัวเลขและหารือร่วมกับสถานพยาบาลทุกสังกัด แล้วนำตัวเลขมาบริหารจัดการร่วมกันในศูนย์กระจายหน้ากากอนามัย
.
3.การส่งออก ได้ลงนามประกาศว่าจากนี้ไปการส่งออกหน้ากากอนามัยจะต้องขออนุญาตทุกกรณี แม้จะนำออกชิ้นเดียวก็ต้องขออนุญาต ยกเว้นผู้ป่วยที่มีใบรับรองแพทย์ที่เดินทางไปต่างประเทศและมีความจำเป็นที่จะต้องมีหน้ากากอนามัยเท่านั้น

4.การดำเนินคดีได้รับแจ้งจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานวอร์รูมว่าได้ดำเนินคดีกับผู้ที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยราคาแพงเกินสมควรไปแล้ว 31 คดีและกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาไปอีก 20 คดีรวมเป็น 51 คดี กรณีขายเกินราคานั้นจะมีโทษจำคุก 7 ปีปรับ 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับซึ่งได้ส่งเรื่องให้สอบสวนและส่งเรื่องให้อัยการดำเนินการต่อไป กรณีคดีออนไลน์ที่มีการประกาศขายขณะนี้กระทรวงพาณิชย์จะขอความร่วมมือจากกระทรวงดีอี ในการที่จะเข้าไปสืบค้นการโพสต์ขายออนไลน์เพื่อจัดการกับผู้ที่กระทำผิดที่ขายในราคาแพงเกินควร และกรณีของแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เป็นแหล่งที่ทำให้ผู้ขายหน้ากากอนามัยเกินราคามาโพสต์จะดำเนินคดีด้วย

5.มาตรการให้การช่วยเหลือเพื่อให้กระบวนการผลิตและการกระจายหน้ากากอนามัยสามารถดำเนินการให้ราบรื่นที่สุดภายใต้กำลังการผลิตวันละประมาณ 1,000,000 ชิ้น
– เมื่อรัฐบาลประกาศควบคุมราคา 2.50 บาทในส่วนที่เป็นภาระของภาคเอกชนจะเสนอคณะรัฐมนตรีให้รัฐบาลได้ช่วยแบ่งเบาภาระส่วนเกินเพื่อให้ยังสามารถจำหน่ายในราคา 2.50 บาทได้
– หากเอกชนรายใดประสงค์นำเข้าเครื่องจักรเพื่อผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงนี้หรือต้องการผลิตฟิลเตอร์ซึ่งถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญชิ้นหนึ่งของหน้ากากอนามัยที่เป็นตัวกรองจะหารือกับคณะรัฐมนตรีในวันที่ 3 มี.ค.ทันทีว่าจะมีมาตรการในการช่วยเหลือสนับสนุนหรือส่งเสริมได้อย่างไร
– เรื่องของหน้ากากทางเลือกเดิมที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคได้เร่งผลิตก็จะขอให้กระทรวงสาธารณสุขได้ช่วยเน้นในการประชาสัมพันธ์ว่าหน้ากากผ้าสามารถเป็นทางเลือกที่จะช่วยป้องกันโควิด-19 ได้









