บรรยากาศภายในศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบ บ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ไม่ต่างอะไรกับเมืองขนาดย่อม ที่มีคนอยู่อาศัยไม่ต่ำกว่า 30,000 คน ที่แห่งนี้คือประจักษ์พยานของความขัดแย้ง ที่ยืดเยื้อในเมียนมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 เริ่มมีการจัดตั้งศูนย์พักพิง สำหรับชาวเมียนมาชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่หลบหนีภัยจากการสู้รบทางชาติพันธุ์จากรัฐบาลทหารพม่า
ณ วันนี้ ถนนเส้นหลักภายในศูนย์พักพิงฯ ขนานไปกับแนวถนนภายนอก คับคั่งไปด้วยร้านของชำ เพิงร้านอาหาร ไปจนถึงร้านขายอุปกรณ์กีฬา และอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซต์ ก่อนที่ ในช่วงเที่ยงวันจะขวักไขว่ไปด้วยหนุ่มสาว ในชุดยูนิฟอร์มนักเรียน ที่บ้างกำลังเดินไปเรียนในช่วงบ่าย สวนทางกับอีกลุ่มที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการเรียนในช่วงเช้า
เมื่อสัญจรลึกเข้าไปด้านในติดกับเชิงเขา วิทยาลัย Shalom Arts and Leadership (SALC) ซ่อนตัวอยู่ภายในตรอกเล็กๆ รายล้อมไปด้วยบ้านของผู้คน ที่แห่งนี้เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี มีบุคลากร 18 คน ที่คอยดูแลนักเรียนกว่า 710 คน
“ฉันตื่นหกโมงครึ่ง มีงานเล็กๆ ที่ต้องทำคือการสอนเปียโน ก่อนเดินทางไปเรียนตอนเก้าโมงเช้า”
กิจวัตรประจำวันของ มูลา (Moola) เป็นแบบนี้มา 1 ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่เขาต้องหนีการถูกบังคับเกณฑ์ทหาร เพื่อมาเรียนหนังสือที่วิทยาลัย ในวัย 21 ปี มูลาเล่าว่า หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย สถานการณ์ในประเทศเมียนมาทำให้เขาศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้ จำเป็นออกไปทำงานในไร่กว่า 2 ปี แต่ด้วยการสนับสนุนจากครอบครัว วันนี้มูลาได้กลับมาเรียนอีกครั้ง
“ฉันอยากเรียนให้สูงๆ เพื่อที่จะกลับมาดูแลแม่…ฉันอยากทำงานในบริษัท มีความฝันอยากมีบริษัทเป็นของตัวเอง ฉันไม่ได้อยากสู้รบ” มูลา เล่าความฝันของเขา

มูลา
เปลี่ยนชีวิตด้วย ‘การศึกษา’
ไม่เพียงแค่ มูลา ที่แห่งนี้ ยังคงมีความฝันอีกมากที่ก่อตัวขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปี คนหนุ่มสาวต่างเลือกใช้การศึกษาเป็นใบเบิกทางให้กับชีวิตของพวกเขาภายในศูนย์พักพิงฯ
เอมมี่ เป็นครูที่วิทยาลัย Shalom Arts and Leadership มาได้ 4 ปีแล้ว ก่อนหน้านั้น เธอก็เหมือนเด็กคนอื่นที่เติบโตมาจากศูนย์พักพิงชั่วคราวแม่หละ
เธอดิ้นรนจนพาตัวเองเรียนจบปริญญาโท ที่ประเทศอินเดีย ก่อนตัดสินใจกลับมาเป็นครู และรับเงินเดือนเพียง 2,000 – 4,000 บาท ด้วยเชื่อว่า การส่งต่อการศึกษาที่มีคุณภาพ จะช่วยให้ชุมชนหลุดพ้นจากความยากลำบาก
“เราต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ครูผู้สอนระดับปริญญาตรี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท เพื่อให้มั่นใจว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะมอบให้กับนักเรียน”

ณ วิทยาลัยที่เอมมี่สอน เธออธิบายว่า มีเพียงสาขาในสายสังคมศาสตร์เท่านั้น ใน 1 ปี เอมมี่ได้รับมอบหมายให้สอนทั้งหมด 8 วิชา เช่น สังคมวิทยา มานุษยวิทยา จิตวิทยาเบื้องต้น รัฐศาสตร์เบื้องต้น เป็นต้น นอกจากนี้ ณ วิทยาลัยแห่งนี้ยังมีการเปิดสอนวิชาที่นำสมัยอย่าง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และวิชาสิทธิของผู้ลี้ภัย เป็นต้น
อย่างไรก็ดีแม้ว่าพวกเขาจะพยายามมอบการศึกษาที่มีคุณภาพ แต่เอมมี่พบว่า นักเรียนหลายคนที่เรียนจบหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี ลงเอยด้วยการไม่สามารถหางานทำได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีเอกสารประจำตัว
“พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่า ‘ทำไมฉันต้องเรียน ในเมื่อเรียนจบก็ไม่มีงานทำ’ หลายคนรู้สึกว่า ไม่อยากเสียเวลา เพราะวิทยาลัยของเรายังไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ”
อย่างไรก็ดี มีนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาออกไปเป็นครูสอนตามชนบท ทำงานในองค์กรศาสนา หรือองค์กรไม่แสวงหากำไร ในขณะที่บางคน ขวนขวายจนได้ทุนเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป
“เราพยายามให้กำลังใจพวกเขา” เอมมี่กล่าวในฐานะที่ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นเด็กคนนั้น
“ยังคงมีนักเรียนที่ตั้งใจ และพยายามหาหนทางของตัวเอง พวกเขาคิดว่า ‘ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฉันจะเรียนต่อ เพราะฉันอยากใช้ความรู้นี้ช่วยเหลือชุมชนของฉัน ในแบบที่ฉันทำได้’”

การศึกษาเปลี่ยนชีวิต แต่ไม่อาจเปลี่ยนความ ‘ไร้สถานะ’
กรณีที่เกิดขึ้นกับ โจนาธาน ในวัย 30 ปี หนึ่งในคนที่เติบโตมาในศูนย์พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบ บ้านแม่หละ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ คงไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน ที่เติบโตมาในศูนย์พักพิงชั่วคราวในประเทศไทยทั้ง 9 แห่ง
เมื่อตอนนี้ โจนาธาน ได้ทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย สาขานโยบายสาธารณะ แม้จะผ่านการพิสูจน์ตัวเองผ่านการศึกษา แต่โจนาธาน เล่าว่า เขากลับไม่เห็นหนทางในการปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงแม่หละมาตั้งแต่ปี 2550
โดยอุปสรรคที่โจนาธานและคนในศูนย์พักพิงฯ ส่วนใหญ่เผชิญ คือ การไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ เพราะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้พวกเขา ขาดการปฏิสัมพันธ์กับสังคมไทย แม้หลายคนจะอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 40 ปีดังนั้น ทางเลือกของคนที่มีทางรอด จึงต้องการโยกย้ายถิ่นฐานไปประเทศที่สาม เพื่อแลกกับโอกาสในการได้รับสัญชาติ และโอกาสในการได้งานทำ
“แม้ผมจะชอบสังคมไทย แต่ผมยังเป็นผู้ลี้ภัย” โจนาธานกล่าว
“ผมไม่สามารถเป็นพลเมืองไทยได้ ไม่ว่าจะทำงานอีกกี่ปี ผมก็ยังไม่มีสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนพลเมือง ดังนั้นวันนี้ผมจึงแค่ต้องการอยู่ในที่ที่ให้การยอมรับผมในฐานะพลเมือง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมไม่ได้ในประเทศไทย”

แทนที่จะมองประชากรในศูนย์พักพิงฯ เป็นคนนอก โจนาธาน ปรารถนาที่อยากให้สังคมเห็นว่า คนเหล่านี้สามารถมีส่วนช่วยเศรษฐกิจ และสังคมไทยได้ โดยเฉพาะแนวโน้มที่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนกำลังแรงงาน การเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมกับสังคมไทย ย่อมเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
อย่างที่รู้ว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา กฎหมายอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยสามารถออกมาทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังคงจำกัดอยู่แค่งานไร้ทักษะ หรืองานกรรมกร ซึ่งภายในศูนย์พักพิงฯ ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่เป็นแรงงานมีฝีมือ
“หลังเรียนจบปริญญาเอก ผมวางแผนจะไปประเทศที่สาม และได้ยื่นเรื่องไว้แล้ว” โจนาธานเล่า
“ผมไม่ได้อยากเป็นคนไร้รัฐอยู่อย่างนี้ต่อไป ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ที่ได้รับการคุ้มครองและมีเสรีภาพในการมีชีวิต”
การศึกษาไร้พรมแดน
“ฉันอยากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ อยากเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในประเทศของฉัน” เสียงดังและหนักแน่นของ ซอ ปาน ทเว (Saw Pan Htwe) นักศึกษาอีกคนหนึ่งจาก วิทยาลัย Shalom Arts and Leadership ที่มีความฝันต่างออกไป
เขาไม่ได้อยากไปประเทศที่สาม หรือหางานทำในประเทศไทย แต่ซอ ปาน ทเว กลับยืนยันว่า เมื่อไหร่ที่เขาเรียนจบ จะกลับไปเปิดโรงเรียนสอนหนังสือที่หมู่บ้านของเขา ในประเทศเมียนมา
“เพราะพวกเราไม่มีเสรีภาพในการเรียนหนังสือ ต้องคอยหวาดกลัวกองทัพพม่า พวกเขาทำลายโรงเรียน ฉันจึงตัดสินใจเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในศูนย์พักพิงแห่งนี้”
ซอ ปาน ทเว เล่าต่อว่า ในประเทศเมียนมาตอนนี้ มีเพียงคนรวยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ทั้งที่สำหรับเขาการศึกษาควรเป็นโอกาสสำหรับทุกคนบนโลก
“คนรวยสามารถซื้อการศึกษาด้วยเงิน” ซอ ปาน ทเว บอกเล่าความมุ่งมั่นของเขา “การศึกษาสามารถให้โอกาสคนได้ ฉันจึงอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงเพื่อพวกเขา”
ถึงตอนนี้ ซอ ปาน ทเว ตั้งใจว่าจะเรียนให้จบชั้นปริญญาโท และหากมีโอกาส เขาอยากศึกษาชั้นปริญญาเอก เพื่อนำความรู้กลับไปสร้างวิทยาลัยของตัวเอง และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาในประเทศเมียนมา

ซอ ปาน ทเว
แม้ว่าฝันวันนี้ของเขาดูจะห่างไกล และมีอุปสรรครอคอยเขาอยู่จำนวนมาก แต่ เอมมี่ ผู้เป็นอาจารย์ของซอ ปาน ทเว เป็นคนหนึ่งที่คอยให้กำลังใจ และหาช่องทางสนับสนุนฝันของลูกศิษย์ เริ่มต้นด้วยมอบการศึกษาที่ดีที่สุดให้กับนักเรียน “เรามีรายวิชาเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย” เอมมี่เล่าความสำคัญของการเรียนรู้ภาษาไทย
“นักเรียนที่สามารถพูดและเข้าใจภาษาไทย จะทำให้พวกเขามีโอกาสทำงานร่วมกับคนไทยได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สองชุมชนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าใจ”
เอมมี่ มองว่า เป็นโอกาสอันดี หากสถานศึกษาในประเทศไทย มีโครงการร่วมมือหรือแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ระหว่างกัน จุดแข็งของนักเรียนที่นี่ คือการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว รวมทั้งมีความหลากหลายของพื้นเพ ที่นักศึกษาจากไทยสามารถเข้ามาเรียนรู้แลกเปลี่ยนได้
“แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่มีตัวตนทางกฎหมาย สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเริ่มสูญเสียความฝัน และไม่มีความหวังในการศึกษา”
ในฐานะครูคนหนึ่งว่า เอมมี่ ยังคงมีความหวังเล็กๆ ว่าถ้าสักวันหนึ่งวิทยาลัยของเธอ สามารถสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานการศึกษาไทยได้ ทำให้นักเรียนที่นี่ได้เรียนรู้ความเป็นไทย เชื่อมต่อกับระบบการศึกษา
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความหวังให้กับทุกคนที่นี่ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว แผ่นดินที่จากมายังคงเต็มไปด้วยความขัดแย้ง และการศึกษาคือใบเบิกทาง ไม่กี่ทางเลือก ที่พวกเขาเชื่อว่า สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชนได้










