“ตั้งหลักไม่ได้ คุณก็ช้าไปทุกวัน” คุยกับ ไมตรี จงไกรจักร์ เมื่อรัฐมี ‘3 กฎหมาย 3 คนบัญชา’ ต้องฟังใคร?

“ตั้งหลักไม่ได้ คุณก็ช้าไปทุกวัน” คุยกับ ไมตรี จงไกรจักร์ เมื่อรัฐมี ‘3 กฎหมาย 3 คนบัญชา’ ต้องฟังใคร?

คาดหวังให้ผู้มีอำนาจ ‘ขาติดน้ำ’ หรือ ‘นั่งติดโต๊ะ’? เลี่ยงไม่ได้ ที่ ‘รัฐบาล’ ต้องรับเสียงวิจารณ์ เมื่อเกิดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติ ที่ควรจะลดทอนความสูญเสียได้มากกว่านี้ อย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ 

 

“แม้จะผ่านมา 6 วัน แต่ถ้าคุณยังตั้งหลักไม่ได้ คุณก็จะช้าไปทุกวัน ชีวิตประชาชนดับวูบลง ในแต่ละวันเท่าไหร่ ไม่สามารถอธิบายได้”

ในฐานะ ผู้เชี่ยวชาญการจัดการภัยพิบัติ ไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ยังคงคาดหวัง ‘การตั้งศูนย์บัญชาการ’ ในพื้นที่ เพราะยิ่งมีสัญญาณดีของฝนที่ทิ้งระยะเท่าไหร่ ยิ่งจังหวะที่รัฐต้องฉกฉวยโอกาสให้มากที่สุด

 

กฎหมาย 3 ระดับ ใช้คนสั่งการ 3 คน

อาจไม่ได้พูดเต็มปากว่า การจัดการภัยพิบัติครั้งนี้ล้มเหลวหรือไม่ ทว่า ไมตรี ตอบได้ชัดเจนว่า คำสั่งของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ล้มเหลวอย่างยิ่ง 

ไมตรี อธิบายว่า คำสั่งการที่อาศัยกฎหมายถึง 3 ฉบับ ทำให้ไม่รู้ใครบัญชาการเหตุการณ์กันแน่ แม้ถึงตอนนี้ รองนายกฯ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า จะยืนยันว่าเจ้าตัวเป็น ซิงเกิลคอมมานด์ของเหตุการณ์นี้ก็ตาม

เท้าความ 3 คำสั่งนายกฯ 

  • คำสั่งที่ 1 อาศัย พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน 2534 : มีรองนายกฯ ​ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้บัญชาการ
  • คำสั่ง 2 ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ : นายกฯ แต่ตั้งให้  พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์  ผบ.ทสส. เป็นผู้บัญชาการ
  • คำสั่งที่ 3 : ยกระดับภัยพิบัติเป็นระดับ 4 เท่ากับ นายกฯ เป็นผู้บัญชาการตามตำแหน่ง ทว่า มอบให้อธิบดี ปภ. ดำเนินการแทน

เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามที่ตามมาคือ ต้องฟังใคร

“นักวิชาการ งง ผู้เชี่ยวชาญ งง หน่วยงานก็งง ว่าฉันจะขึ้นกับใคร ผู้ปฏิบัติที่อยู่ภายใต้กฎหมายแต่ละฉบับ ก็งงว่าฉันจะรายงานใคร”

ไมตรี เปรียบเทียบง่ายๆ คล้ายเวลาดูภาพยนตร์ ที่มักจะฉายภาพภัยพิบัติที่เกินกำลังรัฐบาล เราจะเห็นภาพการดึงผู้เชี่ยวชาญนั่งวอร์รูมทันที เพื่อทำข้อเสนอส่งให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์ 

“เราจะทำให้คุณอนุทินเข้าใจได้ยังไง…ถ้าได้เริ่มวันนี้ ไม่มีอะไรช้า” ไมตรี กล่าว

ภาพ Thai News Pix

บทเรียนประเมินต่ำ สูญเสียสูง

ดูเหมือนว่า ‘การเมือง’ ทำให้วิกฤตนี้หนักหน่วงโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะการโยกย้ายข้าราชการประจำ ที่ส่วนหนึ่งวิเคราะห์ว่า เป็นไปเพื่อรองรับการเลือกตั้งในอนาคต

ไมตรี กล่าว่า การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพิ่งประจำตำแหน่งหลักสัปดาห์ ในช่วงเวลาที่วิกฤตเช่นนี้ไม่เป็นผลดี เพราะความไม่คุ้นชินกับคน และส่วนราชการ ส่งผลให้การประสานงานติดขัด และโกลาหล และหากไล่ย้อนไป ไมตรี ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่มาถึงผู้ว่าฯ ไม่ครบถ้วนรอบด้านตั้งแต่ต้น ก็มีส่วนทำให้ตัดสินใจผิดพลาดคลาดเคลื่อน

ผลที่ตามมา คือ การประเมินสถานการณ์ต่ำ ทำให้แจ้งเตือนประชาชนด้วยข้อมูลที่ต่ำ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกไม่ต่างจากปกติ ที่สามารถอาศัยชั้น 2 ของบ้านได้

“ประเทศไทยเรามีสิ่งนี้ตลอด ไม่กล้าประเมินสถานการณ์สูงสุด เพราะกลัวกระทบเศรษฐกิจ รายได้ ท่องเที่ยว เกิดขึ้นทุกที่ ครั้งก่อนก็ที่เชียงราย ไม่กล้าประเมินสูง กลัวไม่เป็นตามนั้น”

“การประเมินสถานการณ์ต่ำ จะเป็นจุดชี้ขาดของทุกองค์กรที่ล้มเหลว เพราะว่าเราไม่กล้ายอมรับความจริงกับสถานการณ์นี้” ไมตรี กล่าว

ภาพ Thai News Pix

อย่า ‘ทำการเมือง’ นำหน้า ‘ทำงาน’

ถึงตอนนี้ เมื่ออ้างกฎหมายมีครอบคลุมพื้นที่ จ.สงขลาแล้ว ร.อ. ธรรมนัส นับว่าเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ ตามการแต่งตั้งของนายกฯ ไมตรี จึงอยากเน้นย้ำขอเสนอให้ ‘จัดตั้งศูนย์ข้อมูล’ ที่ยังไม่สายเกินไป

ย้อนไปวานนี้ การลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยตัวเอง ของ ร.อ. ธรรมนัส ไมตรี จนเกิดประโยคอย่าง ‘นี่คือคนไทยที่ถูกทอดทิ้ง หน่วยงานราชการบอกเข้าไม่ได้ ไม่จริง’ ก่อนจะต่อว่าเจ้าหน้าที่หน้างาน อย่างดุดันนั้น

ไมตรี มองว่า ส่วนหนึ่งถือเป็นบุคลิกส่วนตัว ทว่า ต้องไม่หลงลืมการตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญ คอยระดมความคิด วิเคราะห์ วางแผนแทน เพื่อให้บัญชาการต่อ

“ท่านต้องกลับไปบัญชาการอย่างเป็นระบบด้วย ยิ่งไปเจอของจริงมา รู้เลยจุดอ่อนอยู่ตรงไหน ก็ต้องสั่งอย่างเป็นระบบ ไม่รู้สั่งใครตรงนั้น (หน้างาน) สั่งผ่านสื่อ ไม่รู้จะเกิดประโยชน์ยังไง”

ภาพ Thai News Pix

ไมตรี กล่าวว่า ทุกท้องถิ่นต้องมีศูนย์บัญชาการ เพื่อให้บรรดาอาสาสมัคร กู้ภัยขึ้นตรง ก่อนที่จะส่งข้อมูลเข้าจังหวัด ทำให้เกิดการกระจายการดูแลประชาชน ประเมินความพร้อม และโยกย้ายการช่วยเหลือ

เช่นเดียวกับการใช้ประโยชน์สูงสุดจากหน่วยงาน ปภ. ของแต่ละจังหวัด หากที่ไหนน้ำไม่ท่วม ก็จับคู่กับพื้นที่ที่กำลังเผชิญเหตุ เพื่อโยกกำลังและทรัพยากร จะได้ไม่มีจังหวัดไหนถูกหลงลืม ก่อนที่จะสื่อสารให้ประชาชนเห็นระบบและแผนการทำงาน

“ไม่ใช่แค่บอกไม่มีปัญหา ไม่ล่าช้า ตอบแค่นี้ไม่ได้ ต้องเห็นว่าอะไรที่ทำให้ประชาชน เชื่อมั่นศักยภาพของนายกฯ” 

ไมตรี ยังกล่าวว่า ภัยพิบัติในสงขลาครั้งนี้ ตอกย้ำให้เห็นว่า อุทกภัยเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้อีกที่ใดก็ได้ ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพท้องถิ่น ให้ทุกชุมชนมีเครื่องมือ มีศักยภาพรับมือเบื้องต้นได้ เลี่ยงไม่ได้ในอนาคต

เช่นเดียวกับ ‘นักการเมือง’ ที่ไมตรีแสดงความเห็นว่า ต้องมุ่งมั่นทำงาน เพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้น การเมืองจะทำให้ปัญหารุนแรงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

“การเมืองทำให้ผู้ประสบภัย เจอวิกฤต ซ้ำวิกฤต…ทุกสนามรบ สนามภัยพิบัติ เราไม่ควรใช้พื้นที่ภัยพิบัติหาเสียงทางการเมืองอย่างเดียว ต้องตั้งหลักว่า จะบัญชาการยังไง แบ่งบทบาทของคนให้แล้วเสร็จ”

SmitananWriterSmitanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง