ใกล้ถึงช่วงส่งท้ายปี ประชาชนเตรียมฉลอง ขณะที่ผู้ประการก็ตุนสินค้าหวังรับการท่องเที่ยวเต็มที่ พร้อมกันเฝ้ารอลุ้นว่า กฎที่จะ ‘ขยายเวลาจำหน่ายแอลกอฮอล์’ จะใช้ทันปีใหม่ตามแผนหรือไม่
กระทั่งวันที่ 2 ธ.ค. 2568 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เรื่อง กำหนดเวลาห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568 ซึ่งรวมถึง ‘ข้อยกเว้นและเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์’ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน
เนื้อหาส่วนหนึ่งของประกาศ ระบุว่า การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงเวลาตั้งแต่ 14:00 น. – 17:00 น. สามารถ ‘ขายได้’ โดยทดลองใช้เป็นระยะเวลา 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ นับเป็นการ ‘ปลดล็อก’ เวลาห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ถูกบังคับใช้มายาวนานราว 53 ปีนับตั้งแต่ พ.ศ. 2515
โดยการปลดล็อกนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 3.ค. 2568 เป็นต้นไป แต่ยังมีรายละเอียดบางส่วนที่นักดื่ม และสถานประกอบการควรพิจารณาเพิ่มเติมเช่นกัน
‘ปลดล็อก’ ไม่เท่ากับ ‘เปิดขายเสรี’
รองนายกรัฐมนตรี โสภณ ซารัมย์ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ก่อนที่ราชกิจจานุเบกษาจะประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการไม่นาน โดยย้ำว่ามาตรการนี้เป็นการ ‘ปลดล็อก’ แต่ไม่ใช่ ‘เปิดขายเสรี’ จึงไม่ใช่ทุกร้านที่จะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลานี้ได้ ต้องเป็นร้านที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องกับทางภาครัฐเท่านั้น
ร้านขายของชำ ที่จดทะเบียนจะสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในเวลา 14:00 – 17:00 น. ส่วนสถานที่บริการ ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ก็จะได้รับอนุญาตให้ขายในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งยังจะได้รับการผ่อนผัน ให้ลูกค้านั่งดื่มต่อที่ร้านได้ จนถึงเวลา 01.00 น. ซึ่งเป็นการขยายจากเวลาเดิมที่เที่ยงคืน
รองนายกฯ ระบุว่า การปลดล็อกนี้มีเป้าหมาย เพื่อสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่และสงกรานต์ นอกเหนือจากความเห็นของผู้ที่สนับสนุนการขยายเวลา ยังมีข้อกังวลจากเครือข่ายรณรงค์ต่อต้านการบริโภคสุรา รวมถึงบุคลากรสาธารณสุข ที่เกรงว่ามาตรการปลดล็อก อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มขึ้น จากปัญหาเมาแล้วขับ ทั้งยังมีแนวโน้มจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรังตามมา
ด้วยเหตุนี้ พัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข (สธ.) ซึ่งควบตำแหน่งประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่าจะต้องมีการประเมินมาตรการปลดล็อกเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มเติมในระยะเวลา 6 เดือน หลังมีผลบังคับใช้
การประเมินจะต้องคำนึงถึงผลทางเศรษฐกิจ ข้อกังวลเรื่องสุขภาพ รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงจะจัดประชุมคณะกรรมการฯ อีกครั้งเพื่อพิจารณาว่ามาตรการนี้ควรดำเนินการต่อไปหรือไม่
กรณีศึกษา 3 ชาติ ‘ฟินแลนด์-สวีเดน-ซาอุดีอาระเบีย’
ไม่ใช่แค่ไทยประเทศเดียวที่เริ่มทบทวนมาตรการควบคุมการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะประเทศแถบยุโรปและตะวันออกกลาง ที่เคยมีข้อห้ามเข้มงวด เรื่องการขายเหล้าเบียร์และของมึนเมาต่างๆ เริ่มพิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นกัน
ประเด็นที่น่าสนใจคือ เหตุผลที่ทำให้ประเทศเหล่านี้พิจารณาผ่อนผัน ฟังดูไม่ต่างจากไทยมากนัก เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถูกมองเป็นหนึ่งใน ‘วัฒนธรรมย่อย’ ซึ่งควรได้รับการส่งเสริมจากรัฐเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นแรงดึงดูดด้านการท่องเที่ยว และส่งเสริมการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ทว่า เงื่อนไขในการปรับแก้กฎหมาย หรือการทบทวนข้อบังคับเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐและค่านิยมของคนในสังคมด้วย
ฟินแลนด์: ปรับแก้กฎ ‘รัฐผูกขาด’ ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นับตั้งแต่ปี 2498 (ค.ศ.1955) เป็นต้นมา ฟินแลนด์และประเทศนอร์ดิกบางส่วน บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เข้มงวดกว่าอีกหลายประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) โดยเงื่อนไขหนึ่งก็คือ การห้ามร้านค้าเอกชน จำหน่ายเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 3.5 % ขึ้นไป
หากนักดื่มในฟินแลนด์ อยากได้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดีกรีแรงกว่า 3.5 % ต้องไปซื้อกับร้านค้าของรัฐเท่านั้น โดยร้านเหล่านี้ จำกัดเวลาจำหน่ายในแต่ละวัน ทั้งยังปิดบริการทุกวันอาทิตย์ และถูกห้ามโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือจัดโปรโมชันลดแลกแจกแถม เพื่อกระตุ้นยอดจำหน่ายโดยเด็ดขาด
กฎหมายนี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อกำกับดูแลการบริโภคของประชากรในประเทศ ไม่ให้เกิดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ อันสืบเนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์ กฎหมายนี้จึงได้รับความชื่นชมอย่างมากจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็น ‘นโยบายประสิทธิภาพสูง’ ในการส่งเสริมสุขภาวะของคนในสังคม
จนกระทั่งปี 2561 รัฐบาลฟินแลนด์พิจารณาปรับแก้ เพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยผ่อนผันให้ร้านสะดวกซื้อทั่วไป สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงสุดถึง 5.5% ได้ ทั้งยังอนุญาตให้สถานบริการ ซึ่งจดทะเบียนกับรัฐสามารถจัดโปรโมชัน Happy Hour ส่งเสริมการขายในร้าน หรือสถานประกอบการของตัวเองได้ด้วย
ส่วนร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Alko ซึ่งเป็นกิจการของรัฐ ก็ได้รับอนุญาตให้ขยายเวลาเปิดบริการเพิ่มเติม จากเดิมที่เคยเปิดถึงเวลา 18.00 น. ก็สามารถเปิดได้ถึง 21.00 น.
.แม้การหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีดีกรีแรงขึ้นจะทำได้ง่ายขึ้น แต่รัฐบาลฟินแลนด์ ก็ปรับภาษีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้น 6-7% เช่นกัน เพื่อมุ่งเน้นไปยังกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะและเพื่อเพิ่มรายได้เข้าสู่ระบบของภาครัฐ
นอกจากนี้ ในปี 2567 รัฐบาลฟินแลนด์ ยังเริ่มพิจารณาการผ่อนผันให้ร้านค้าออนไลน์ ซึ่งมีบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้าน สามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทางของบรรดานักดื่ม ป้องกันอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการเมาขับ
ทว่า ผู้คัดค้านจำนวนมากมองว่า นโยบายนี้จะยิ่งกระตุ้นให้มีการบริโภคเพิ่มขึ้น และกำกับดูแลผู้บริโภคได้ยากขึ้น เพราะอาจจะเกิดช่องโหว่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่าเกณฑ์ เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ง่ายดายยิ่งกว่าเดิม มาตรการนี้ จึงยังไม่มีข้อยุติและจะยังไม่มีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้
สวีเดน: ต้องเข้ารับการอบรมก่อนถึงจะซื้อแอลกอฮอล์ได้!
สวีเดน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดีกรีแรงเกินกว่า 3.3% แต่รัฐบาลสวีเดนเพิ่งจะลงมติเห็นชอบ ให้ปรับแก้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปเมื่อปี 2567
รัฐบาลสวีเดนชุดปัจจุบัน ซึ่งมีแนวคิดฝ่ายขวา ระบุว่า การปรับแก้กฎหมายจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน และเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศ ทั้งยังส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ให้มีความดึงดูดใจเพิ่มขึ้น แม้จะมีเสียงคัดค้านจากผู้ที่กังวลเรื่องสุขภาพ และความปลอดภัยสาธารณะ แต่รัฐบาลสวีเดน ยังคงเดินหน้าปรับแก้ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อไป
การปรับแก้ล่าสุด มีผลบังคับใช้เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 โดยรัฐบาลสวีเดน ออกกฎหมายลูกซึ่งถูกเรียกสั้นๆ ว่า Farm Law อนุญาตให้ไร่เกษตรที่มีกิจการโรงกลั่น โรงบ่ม หรือโรงหมักเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นของตัวเอง สามารถขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวที่เข้าใช้บริการได้ ซึ่งถือเป็นการผ่อนผันให้เอกชนทั้งรายใหญ่และรายย่อย เข้าร่วมแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในประเทศเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี รัฐบาลสวีเดนมีเงื่อนไขบังคับว่า ผู้ที่จะซื้อหรือผู้รับบริการ จากสถานบริการเอกชนเหล่านี้ต้องเข้ารับ ‘การอบรม’ เสียก่อน
การอบรมนี้ ต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเครื่องดื่มที่จำหน่าย รวมถึงผลเสียและผลกระทบอื่นๆ จากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพและสังคมส่วนรวม เพื่อให้นักดื่มตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะตามมา และต้องยอมรับผลจากการตัดสินใจของตัวเอง
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการซึ่งได้รับผ่อนผันตามเงื่อนไขของ Farm Law ยังต้องจำกัดจำนวนเครื่องดื่มที่จำหน่ายให้แก่แต่ละบุคคล ที่เข้ารับบริการด้วย เพื่อป้องกันการเหมาซื้อ หรือกักตุนแอลกอฮอล์เกินขนาด
รัฐบาลสวีเดนกำหนดระยะทดลองดำเนินการมาตรการนี้เป็นเวลา 6 ปี หลังจากนั้น ถึงจะมีการประเมินผลดี และผลเสียอีกครั้งหนึ่ง ในกรณีที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นเชิงบวก จึงจะผลักดันบังคับใช้เป็นกฎหมายถาวรต่อไปในอนาคต
ซาอุดีอาระเบีย: รัฐศาสนาเล็งดึงดูดกลุ่มเป้าหมายต่างศาสนา
เนื่องจากซาอุดีอาระเบียเป็น ‘รัฐอิสลาม’ จึงมีกฎห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีบทลงโทษผู้ละเมิดกฎค่อนข้างรุนแรง เมื่อเทียบกับประเทศเสรีอื่นๆ ทั่วโลก
อย่างไรก็ดี เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ผู้ทรงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธานสภาเพื่อกิจการเศรษฐกิจและการพัฒนา ควบคู่กันมาตั้งแต่ปี 2560 ได้ผลักดันแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ และสังคมในนาม Vision 2030 ซึ่งตั้งเป้าให้ซาอุดีฯ ลดการพึ่งพาน้ำมันลง โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมเศรษฐกิจด้านอื่นๆ เพิ่มเติมให้สำเร็จภายในปี ค.ศ.2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า
การกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและบริการ คือหนึ่งในเป้าหมายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แผนปฏิรูป Vision 2030 และกลยุทธ์หนึ่งซึ่งซาอุดีฯ เตรียมนำมาใช้เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ก็คือการผ่อนผันให้มีสถานที่บริการหรือสถานที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และสอดคล้องกับความหลากหลายของกลุ่มผู้ใช้บริการชาวต่างชาติหรือต่างศาสนา
ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา มีรายงานในสื่อหลายสำนัก บ่งชี้ว่าชาวต่างชาติซึ่งพำนักอาศัยหรือทำงานในย่าน DQ (Diplomatic Quarter) ของกรุงริยาดห์ เมืองหลวงซาอุดีอาระเบีย ได้รับการผ่อนผันให้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ รวมถึงผู้ที่ถือหนังสือเดินทางทูต และผู้เข้าใช้บริการที่สนามบินนานาชาติซึ่งมีอยู่หลายแห่งทั่วซาอุดีฯ
บุคคลอีกกลุ่มที่มีรายงานว่า ได้รับการผ่อนผันให้ซื้อและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรัฐศาสนาแห่งนี้ได้เช่นกัน คือ ผู้สมัครเข้าพำนักอาศัยถาวรและชั่วคราว ในโครงการ Premium Residency ซึ่งทางการซาอุดีฯ เปิดให้ชาวต่างชาติสมัครเข้าร่วมตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา โดยสนนราคาในการเข้าร่วมโครงการจะอยู่ระหว่าง 100,000 – 800,000 ริยัลต่อปี หรือ ราวๆ 850,000 – 6,800,000 บาท
ส่วนสถานที่บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายของมึนเมาได้ ต้องเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนขออนุญาตจากรัฐเรียบร้อยแล้วเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจโรงแรม โรงมหรสพ สถานที่จัดงานรื่นเริง และร้านอาหารในสนามบิน
แม้รายงานนี้จะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐซาอุดีฯ แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐแห่งใดออกมาปฏิเสธข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ประชากรกลุ่มเคร่งศาสนาจำนวนไม่น้อยในซาอุดีฯ รวมถึงชาวมุสลิมจากกลุ่มประเทศอาหรับ ที่เข้ามาพำนักอาศัยและทำงานในซาอุดีฯ มีความเห็นแตกต่างอย่างมากในประเด็นนี้ เพราะมีผู้กังวลว่า การผ่อนผันให้จำหน่ายเอาจนำไปสู่ความไม่สงบในสังคมได้ เพราะไม่ว่าอย่างไร การดื่มแอลกอฮอล์ก็ขัดต่อหลักศาสนา
จากกรณีศึกษาทั้งหมดจ ะเห็นได้ว่ารัฐบาลส่วนใหญ่ ต้องการสนับสนุนอุตสาหกรรมด้านนี้ให้เติบโต แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องรับฟังความเห็นของคนในสังคม ทำให้การประเมินผลหรือทบทวนมาตรการผ่อนผันที่เกี่ยวกับของมึนเมาเหล่านี้ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะถึงที่สุดแล้ว นโยบายที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง หรือได้ไม่คุ้มเสีย คงไม่มีโอกาสได้ไปต่อ










