“ตำรวจเปรียบเสมือนผ้าขี้ริ้ว” เมื่อคำปฏิญาณแก้ไขวิกฤตสีกากีไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยการ ‘ทำความสะอาด’ องค์กร

“ตำรวจเปรียบเสมือนผ้าขี้ริ้ว” เมื่อคำปฏิญาณแก้ไขวิกฤตสีกากีไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยการ ‘ทำความสะอาด’ องค์กร

ความเชื่อมั่นของสังคมที่มีต่อ ‘องค์กรตำรวจ’ ถูกสั่นคลอนครั้งแล้วครั้งเล่า โดยครั้งล่าสุด นายตำรวจระดับสูง ซึ่งเคยถูกปลดและถูกดำเนินคดี เดินหน้าสู้กลับ ‘สาวไส้คนในองค์กร’

 

ด้วยการร้องเรียนและทวงถามความคืบหน้า กรณีที่อดีตผู้บัญชาการตำรวจและตำรวจอีก 200 นายถูกกล่าวหาว่าพัวพันเครือข่ายเว็บพนันผิดกฎหมายเสียเอง 

แม้จะมีการออกคำสั่งให้ทุกสถานีตำรวจกล่าวคำปฏิญาณ เพื่อยืนยันว่า “ตำรวจไม่ใช่องค์กรอาชญากรรม” แต่การกอบกู้วิกฤตศรัทธาของประชาชนที่มีต่อองค์กรตำรวจ ไม่อาจแก้ไขได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น

รายการ HEADLINE โดยสำนักข่าว TODAY พูดคุยเพิ่มเติมกับ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ปัญญาณ์ธรรมกุล สารวัตรสอบสวน สน.สายไหม และเลขาธิการประจำ กมธ.ความมั่นคงฯ เพื่อสะท้อนสภาพความเป็นไปในแวดวงสีกากี

ในฐานะที่ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ นับเป็น ‘คนใน’ คนหนึ่งของแวดวงตำรวจ ทั้งยังเป็นผู้ร่วมผลักดันเรื่องการปฏิรูปตำรวจอย่างต่อเนื่อง เขามองว่าวัฒนธรรมองค์กรบางอย่างก็เป็นต้นตอการทุจริต และความเหลื่อมล้ำ ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ถึงเวลาแล้วที่ องค์กรตำรวจต้องทำความสะอาดบ้านของตัวเอง ให้หมดจดก่อนไปทำความสะอาดบ้านเมือง

 

เนื้อร้ายต้องตัดทิ้ง อย่าให้กลายเป็นมะเร็งทำลายองค์กร

กลางเดือนพฤศจิกายน 2568 คลิปวิดีโอบันทึกการประชุมของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ (กมธ.ความมั่นคง) สืบเนื่องจากที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจ ร้องเรียน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจ กลายเป็นไวรัลในสื่อออนไลน์ 

ประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างมาก คือ การถกเถียงอย่างดุเดือดเกี่ยวกับข้อครหา เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน และการเลือกปฏิบัติภายในองค์กรตำรวจ อีกทั้งการประชุมนี้ยังทำลายสถิติการประชุมทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ กล่าวว่า การสอบสวนดำเนินคดีที่พาดพิงอดีต ผบ.ตร. และตำรวจ 200 นาย ว่าพัวพันการรับส่วยจากเว็บพนัน ยังไม่สิ้นสุด และมีความหนักเบาของคดีแตกต่างกันไป แต่กรณีที่คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (กร.ตร.) ชี้มูลความผิดร้ายแรงไปแล้ว ควรดำเนินการโดยเร็ว เพื่อคืนความเชื่อมั่นให้ประชาชน

ด้วยเหตุว่า ความล่าช้าในการดำเนินการกับตำรวจที่ถูกชี้มูลความผิด ไม่เพียงกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรตำรวจ และความเชื่อมั่นของประชาชน แต่ทำให้เกิดคำถามว่า คนในแวดวงนี้ กำลังพยายามช่วยกันปกปิดความผิดของพวกพ้องใช่หรือไม่ 

“เรื่องทางคดีผมไม่ยุ่ง แต่ย้อนกลับมาที่ กร.ตร.เขาชี้มูลแล้ว อันนี้ควรจะมีการดำเนินการอะไรต่อหรือไม่”

“ในเมื่อมันมีการชี้มูลความผิดร้ายแรง โทษนี้ก็คือปลดออกกับไล่ออก แล้ว ตร. (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ตั้งแต่วันที่มีการชี้มูลความผิด ยังไม่มีการดำเนินการอะไร ยังไม่รู้เลยครับว่า 200 คนนี้คือใครบ้าง รู้แค่ชื่อเล่น ชื่อย่อ ‘รองฟาง’ บ้าง ‘ดาบยาว’ บ้าง รู้แค่นี้ แต่ยังไม่ถูกสั่งพักราชการ ถ้าวันนี้ประชาชนไปแจ้งความกับตำรวจ แล้วเราไม่รู้ว่าคนนี้ใช่รองฟางหรือดาบยาว ใช่ใน 200 คนนั้นหรือเปล่า ประชาชนรู้สึกยังไง”

“200 คน ความหนักเบาของโทษมันไม่เท่ากัน อาจมีบางคนที่เส้นเงินไปพัวพัน ถูกกล่าวถึง เพราะฉะนั้นใครที่โดนโทษ มีความผิดชัดเจน คุณต้องดำเนินการได้แล้ว ถ้ายิ่งไม่ดำเนินการ ตำรวจดีๆ ทำงานยาก ทำงานลำบาก แล้วประชาชนจะเชื่อมั่นเมื่อไหร่ ต่อให้เราบอกว่าผมเป็นตำรวจที่ดี แต่การกระทำไม่ได้ มันก็เพียงแค่คำพูด”

“อย่าลืมนะครับว่าตำรวจ (ทั้งหมด) 200,000 นาย 200 นายมันจุ๋มจิ๋ม แค่ 0.01% แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำให้องค์กรเราดูแย่เรื่องความเชื่อมั่นความเชื่อถือ คุณต้องคิดถึงใจตำรวจที่เหลืออีกแสนกว่าคนแล้วเขาจะทำงานยังไง”

ในวันที่ ตำรวจถูกกล่าวหาว่าเป็นองค์กรอาชญากรรม พ.ต.ท.ธีรวัตร์ กล่าวว่า วิธีที่จะแก้ข้อกล่าวหานี้ คือ พิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าไม่ใช่ ไม่จริง ไม่ใช่ด้วยการปฏิญาณ 

“ก็เป็นสคริปต์มาให้ ต้องพูด คือกล่าวไปเพื่อ…อาจจะตอกย้ำหรือเป็นการตอบโต้ แต่ถามว่าประชาชนรู้สึกยังไงกับตำรวจกล่าว ประชาชนไม่ได้รู้สึกดี แต่ผมเชื่อว่าประชาชนจะรู้สึกดีกว่า ถ้าเรามีการพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าตำรวจไม่ใช่จริงๆ โดยการดำเนินคดี ทั้งทางวินัย ทั้งทางอาญากับตำรวจที่มันนอกแถว นอกลู่ ทำให้องค์กรเสียหาย”

“เราต้องพิสูจน์ว่าเนื้อร้ายเราตัดทิ้ง เพราะถ้าเราปล่อยให้เนื้อร้ายมันโต มันจะเป็นมะเร็งครับ มะเร็งตรงนี้ก็ทำลายองค์กรอยู่ดี” 

 

ไม่มีไพร่พลเลว มีแต่แม่ทัพนายกองเลว

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ มองว่า “ตำรวจคือผ้าขี้ริ้ว” มีต้องเก็บกวาดความสกปรกภายในบ้านเมือง จึงเป็นเรื่องยากที่ตำรวจจะรักษาความขาวสะอาดของตัวเองไว้ได้ แต่หน้าที่หลักของตำรวจคือการบังคับใช้กฎหมายและปกป้องประชาชน

สิ่งที่จะทำให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่นได้ คือ องค์กรตำรวจต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า คนในแวดวงนี้จริงจังกับการปราบปรามผู้กระทำผิด โดยไม่เห็นแก่พวกพ้อง ทว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาพสะท้อนอันบิดเบี้ยวของแวดวงตำรวจ อาจมาจาก ‘วัฒนธรรมองค์กร’ ที่ปลูกฝังและหล่อหลอม จนตำรวจบางส่วนอาจหลงลืมหน้าที่ที่แท้จริงไป 

“ตำรวจเรารักกันแหละ เป็นพี่เป็นน้อง ช่วยเหลือกัน แต่อยากให้รักกันในทางที่ถูก รักกันได้ อย่าลืมว่าตำรวจเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะฉะนั้นเราต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดแต่ผลประโยชน์หรือคำสั่งนาย” 

“เราถูกปลูกฝังมาว่าคำสั่งผู้บังคับบัญชา คือ พรจากสวรรค์ ผู้บังคับบัญชาสั่งอะไร เราต้องปฏิบัติตาม มันเลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมต้องไปปฏิญาณว่าองค์กรตำรวจไม่ใช่องค์กรอาชญากรรม ทั้งๆ ที่มันอาจจะดูตลก แต่เราก็ต้องทำ บางทีนายสั่งให้ไปทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย กลายเป็นว่าเราไปเชื่อผู้บังคับบัญชา ไม่ได้ทำตามกฎหมาย เราก็เลยทำผิดกัน” 

“วันนี้ผมอยากจะมาแก้ตรงนี้แหละครับ เราควรจะยืนหยัดได้แล้ว เราเป็นตำรวจ เราเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ถ้าเรายัง clean ตัวเองไม่ได้ เรายังเป็นตำรวจที่ดีไม่ได้ เราเป็นตำรวจที่อำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนไม่ได้ คือเรายังเคลียร์บ้านเราไม่ได้ มันแย่น่ะครับ องค์กรตำรวจก็จะตกต่ำไปอย่างนี้ ก็จะถูกครหา” 

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ กล่าวว่า หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ไม่ใช่แค่การออกมาตอบโต้ว่า ทำจริงหรือไม่ได้ทำ แต่ต้องไปตรวจสอบว่ามีตำรวจที่รับส่วย ตามที่ถูกร้องเรียนจริงหรือไม่

 “มีคำพูดสมัยท่านอดุลย์ แสงสิงแก้ว คำพูดนี้ดีมากครับ ‘ไม่มีไพร่พลเลว มีแต่แม่ทัพนายกองเลว’ ถ้าลูกน้องในบังคับบัญชาเลวร้าย ผู้บังคับบัญชาต้องไปจัดการครับ ต้องไปดูแล ไม่ใช่ว่าสั่งอย่างเดียว ต้องดำเนินการเลย เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง”

“ตำรวจเปรียบเสมือนผ้าขี้ริ้ว เวลาบ้านสกปรก เราเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ด แล้วเราเอาผ้าขี้ริ้วมาซัก แต่ผ้าขี้ริ้วมันสกปรกแล้ว มันไม่มีทางกลับไปขาวสะอาดแบบเดิม…เพราะตำรวจบนโลกใบก็ยากที่จะขาว มันเป็น fact ที่ต้องยอมรับความจริง แต่คุณต้องควบคุมไม่ให้มันเลวร้ายไปกว่านี้”

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ กล่าวต่อว่า การที่ ผบ.ตร. ที่เป็นหัวหอก เป็นผู้นำในการปราบปรามอาชญากรรม กลับเป็นผู้ร้ายเสียเอง นับว่าเลวร้ายมาก จะปล่อยให้คนที่เลวร้ายเช่นนี้ปกครองได้อย่างไร “ถ้าเขาผิดจริง ดำเนินคดีครับ พิสูจน์ว่าเราไม่อ่อนข้อ อันนี้คือสิ่งเดียวที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนได้”

การออกตัวปฏิเสธว่า องค์กรตำรวจไม่ใช่องค์กรอาชญากรรม อาจไม่เพียงพอ ตามความเห็นของ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ที่ชี้ว่า เรื่องที่ผ่านไปแล้ว อย่างไรก็ต้องทำให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำรอย “ต้องไม่มีนายตำรวจคนไหนที่โตมาจากอย่างนี้อีก ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นเรื่องอย่างนี้แหละ แฉกันไปแฉกันมา”

ธำรงวินัย-ตั๋วแมมมอธ หรือหลักเกณฑ์ฉีกได้ง่ายๆ?

ย้อนกลับไป ประเด็นที่ทำให้ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ หันมาผลักดันเรื่องการปฏิรูปองค์กรตำรวจอย่างจริงจัง ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากที่เขาเคยถูกธำรงวินัยนานถึง 9 เดือน หลังปฏิเสธที่จะเป็น ‘ตำรวจราบ’ หน่วยพิเศษที่ตั้งขึ้นใหม่โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล สมัยยังไม่ได้รับตำแหน่ง ผบ.ตร. 

ในตอนนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ นั่งเป็นผู้การกองบัญชาการตำรวจมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 หรือชื่อย่อคือ มหด.904 ซึ่งเป็นหน่วยที่แปลงสภาพมาจาก กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษของ บช.ก. สอบสวนกลาง ในขณะนั้น มีการรายงานว่าจะตั้งกองบัญชาการ อัปเกรดจาก มหด.904 เป็นกองบัญชาการขึ้นมา ต้องการนายตำรวจที่ดี มีลักษณะดี มีความรู้ความสามารถ โดยจะต้องผ่านการคัดตัว

“หลังจากนั้นก็มีการทำหนังสือมาว่าจะมีการคัดตัว พวกผมก็ไปคัดตัวกัน ท่านต่อศักดิ์ก็มาเอง แล้วก็มีประโยคคลาสสิก ที่ตำรวจเราจะรู้กันในแวดวงช่วงคัดตัว เขาจะพูดว่า ‘มาอยู่กับพี่’ แล้วเราก็ลักษณะดี ก็ผ่านการคัดตัว เข้าใจว่าคงจะไปอยู่กองบัญชาการ มหด. แต่ว่าผ่านไปสักไม่กี่เดือน ปรากฏว่าไม่มีการอัปเกรด เป็นกองบังคับการเป็นกองบัญชาการ แต่กลับกลายเป็นว่ามีหน่วยใหม่ คนที่คัดตัวต้องเข้าไปอยู่ ‘ตำรวจราบ’ คือย้ายหน่วยไปอยู่ภายใต้หน่วยของกองบัญชาการรักษาความปลอดภัย รักษาพระองค์”

“เรารู้จักคำว่า ‘ทหารราบ’ แต่ตำรวจมันไม่มี เขาก็เลยอิงว่าเป็นตำรวจราบ เป็นคำใหม่ แต่ประเด็นคือถ้าเราไป เราไม่ได้เป็นตำรวจ เราไม่ได้จับคนร้าย เราไม่ได้ใช้กฎหมายในการจับผู้คน แต่เป็นลักษณะหน้างานอีกหน้างานหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นเกียรติเป็นศรีเรา จริงๆ เราไม่ได้ปฏิเสธเพราะเรื่องนี้ แต่เรามีแพชชั่นในการจับโจรผู้ร้าย เราอยากเติบโตในเส้นทางอาชีพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราอยากเป็นตำรวจ”

ถึงได้ปรากฏข่าวที่ว่า ตำรวจที่ปฏิเสธจะถูกสั่ง ธำรงวินัย ในช่วงเวลาสั้นๆ 3-5 วัน ทว่า พ.ต.ท.ธีรวัตร์ และพวกหลักร้อยคน โดนจับไปธำรงวินัยถึง 9 เดือน ซึ่งระหว่างนั้นก็มีคนตัดสินใจลาออก สุดท้ายเหลือ 97 คน 

“พวกผมโดนสิ่งที่เรียกว่า ‘บูเกะคละ’ เพราะว่าเราโดนไปธำรงวินัยที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยะลา…คือโดนทำโทษน่ะ ว่าง่ายๆ แล้วงบประมาณการธำรงวินัยพวกผมนะ 12 ล้าน คิดว่า ตร.ควรเอางบตรงนี้มาใช้พัฒนาอย่างอื่นดีกว่าไหม”

การยืนหยัดไม่ยอมย้ายไปหน่วยงานใหม่ ที่แตกต่างจาการทำงานของตำรวจแบบเดิม ทำให้ภายหลังมีการยกเลิกการคัดตัว ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยที่ตั้งขึ้นใหม่ จากนั้น พ.ต.อ.ธีรวัตร์ กลับมาทำงาน แต่ตำแหน่งเปลี่ยนไป ทั้งยังเผชิญกับภาวะ ‘แป้กขั้น’ ซึ่งเขาอธิบายว่า คือ การเลื่อนขั้นที่ล่าช้ากว่าเดิม หากเทียบกับการทำงานในช่วงก่อนหน้าของตัวเอง และความก้าวหน้าของเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ไม่ได้ถูกธำรงวินัย

หากสิ่งที่ถูกขับเน้นให้เห็นถึงความแตกต่างอีกอย่างหนึ่ง คือ เส้นทางอาชีพของอดีต ผบ.ตร.ต่อศักดิ์ ซึ่งถูกจารึกว่าเป็นการก้าวกระโดดข้ามขั้น ‘เร็วที่สุดเป็นประวัติการณ์’ จนเกิดเป็นคำถามใหญ่ว่า หลักเกณฑ์ที่เคยใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายมาตลอด เป็นการเลือกปฏิบัติกับคนที่ไม่มีเส้นสาย หรือไม่มี ‘ตั๋ว’ ในแวดวงตำรวจโดยเฉพาะ

“ผมก็เกิดคำถามในใจนะ ผมก็จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีเส้นทางอาชีพ (career path) ในการเติบโต ประเด็นคำถามคือว่าถ้าวันนี้ผมจะก้าวหน้าในอาชีพการงาน ผมต้องทำอะไร ผมตอบตัวเองไม่ได้นะ ก็ท่านอดีต ผบ.ตร.ที่โดนชี้มูล ท่านใช้เวลา 7 ปี จากพันตำรวจเอกขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ผู้นำสูงสุดในองค์กร 7 ปี ซึ่งถ้าเป็น career path ของคนทั่วไปตามหลักเกณฑ์ ท่านยังไม่ได้เป็นผู้การด้วยซ้ำ ยังไม่ได้ติดนายพลด้วยซ้ำ” 

“คำถามคือท่านเก่งอะไรกว่าคนอื่น ท่านเก่งอะไรกว่าตำรวจท่านอื่นถึงขึ้นมา เราไม่ได้รับคำตอบครับ”

เมื่อถามถึงว่า ‘ตั๋ว’ คืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจมากน้อยแค่ไหน? พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ตอบว่า เคยเห็นผ่านตามาบ้าง และการปล่อยให้ ‘ตั๋ว’ พัวพันกับองค์กรตำรวจจะส่งผลกระทบที่กว้างไกล กว่าแค่ในแวดวงตำรวจกันเอง

“ตั๋วมันก็คือการที่เข้าไปนั่งในใจผู้บังคับบัญชาล่ะมั้ง คือเวลาแต่งตั้งจะรู้ว่าคนนี้เด็กใคร ก็เป็นเรื่องที่รู้กัน เราจะได้ยินแต่ก่อนก็มีตั๋ว สร.1 ตั๋วนายกฯ ตั๋วนักการเมือง ตั๋วพิทักษ์1 ตัว ผบ. ตั๋ว น.1 คือในอดีต ปัจจุบันไม่รู้ แต่พอมันแบ่งตั๋วกันอย่างนี้แล้ว ถามว่าประชาชนได้อะไร แทนที่มันจะแบ่งว่าคนนี้มีความรู้ความสามารถ ควรได้ขึ้นตรงนี้ ถูกไหม”

“คือถ้าเป็นคนเก่งแล้วมีตั๋วด้วย อันนี้ก็เป็นโชคดีของประชาชนไป ก็จะทำงานดี โตไว แต่ถ้าห่วยแล้วมีตั๋ว เราก็จะเห็นว่าองค์กรมันแย่ ประชาชนก็ซวยไป ส่วนเช้าชามเย็นชามแล้วมีตั๋วก็กลางๆ ไม่ได้แย่ ไม่ได้ผิด”

ว่ากันแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจเรา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความก้าวหน้าทางอาชีพ ใช้อะไรวัดผล และไม่รู้ว่าเราต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับการโปรโมต 

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ เปรียบให้เห็นภาพชัดเจน อย่างครั้งที่เขาอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นนักเรียนบังคับบัญชา ถ้าจะเป็นนักเรียนบังคับบัญชา หนึ่ง คะแนนเรตเพื่อนว่านิสัยดีไหม เพื่อนต้องเรตให้ดี สอง คือ คุณต้องมีผลการเรียนที่ดี สาม คือ คุณต้องมีสมรรถภาพร่างกายที่ดี สี่ อาจารย์หรือนายตำรวจปกครองต้องมองว่าคุณเป็นคนที่ดี พอคะแนนตรงนี้ผ่าน เขาจะมีให้ลองฝึกเป็นนักเรียนบังคับบัญชา แล้วสุดท้ายก็จะมาสัมภาษณ์ผู้บังคับบัญชาอีกทีว่า คุณเหมาะสมไหม ซึ่งการเป็นนักเรียนบังคับบัญชา ไม่เกี่ยวกับนามสกุล มันเกี่ยวกับว่าคุณ KPI ผ่านหรือไม่

“แต่ถามว่าวันนี้ผมเป็นสารวัตร ผมต้องการขึ้นเป็นรองผู้กำกับ KPI ที่ชัดเจนคืออะไร”

“เพื่อนผมบางคนเป็นรองสารวัตร ตามนายตลอดเลย ถือกระเป๋า พอขึ้นสารวัตรมีตั๋วขึ้น ไปขึ้นเป็นสารวัตรสืบ ผมถามว่า คุณมีความรู้ความสามารถอะไร ในเมื่อการเป็นผู้ปฏิบัติ คุณไม่ผ่านงาน พอเป็นสารวัตรเสร็จ ทำสืบสวน คุณก็มีคอนเน็กชัน พอขึ้นไปเป็นรองผู้กำกับ ไปเป็นรองผู้กำกับจราจร ทั้งที่ไม่เคยผ่านงานจราจร ถามว่าประชาชนได้อะไร” 

 

ความเหลื่อมล้ำ-ฉ้อฉลเกาะกินองค์กร ถึงเวลาต้องปฏิรูป

นอกจากปัญหาเรื่อง ‘ตั๋ว’ ที่สะท้อนระบบอุปถัมภ์และพวกพ้องในองค์กรตำรวจ ยังมีปมความเหลื่อมล้ำระหว่างนายตำรวจชั้นผู้น้อย และนายตำรวจระดับสูงที่เรื้อรังมายาวนาน 

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ สะท้อนจากประสบการณ์ ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และลูกตำรวจคนหนึ่งซึ่งใฝ่ฝันอยากเดินตามรอยบิดา ผู้เป็นแบบอย่างมาตั้งแต่เด็ก เขามองว่าความแตกต่างเรื่องค่าตอบแทน รวมถึงการแบ่งสรรงบประมาณบางอย่าง ชวนให้เกิดข้อกังขาในสายตาคนนอก เป็นประเด็นใหญ่ที่ทำให้ตำรวจจำนวนมากหวั่นไหว ไขว้เขว และเข้าไปพัวพันกับเส้นทางสายอาชญากรรมเสียเอง

“ตำรวจคือผู้บังคับใช้กฎหมาย เวลามันมีอะไรที่มันไม่ดี ตำรวจจะเข้าไปก่อน เขาให้ตำรวจไปบังคับใช้กฎหมาย คือทำสิ่งไม่ดีให้มันถูกต้อง มันเป็นหน้าที่ แต่วันนี้ตำรวจเราดันไปเห็นช่องตรงนี้ และตำรวจเงินเดือนไม่ได้เยอะ หลายคนก็อ่อนไหวกับเรื่องผลประโยชน์กับเรื่องอะไรแบบนี้ นานเข้าๆ มันก็เลยเป็นวัฒนธรรมองค์กร”

“ผมน่ะสงสัยมาตลอด เราเห็นตำรวจเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกับเรา เราสงสัยมาก มึงอาชีพเดียวกับกูจริงหรือเปล่าวะ ทำไมมึงรวยจังวะ…คุณไปคุยกับตำรวจระดับล่าง เงินเดือนเหลือเท่าโน้นเท่านี้ หลักพัน แต่เราดูนายของเรา ระดับนายพลน่ะ ทำไมเขารวยจัง” 

อย่างเงินเดือนของ ผบ.ตร. คนที่สูงที่สุดใน ตร. คือ 78,030 บาท รวมประจำตำแหน่งอีกสองหมื่นกว่าบาท เงินเดือนประมาณแสนนึง  “แล้วเราดูนายพลสิ โอ้โห พยายามขึ้นไปเป็น แล้วรวยขนาดนั้น แต่ดูตำรวจที่ใกล้ชิดประชาชน นายสิบน่ะ สตาร์ทเงินเดือนหมื่นกว่าบาท สองหมื่น สภาพความเป็นอยู่คนละเรื่องเลยนะ” 

“ลองไปดูโรงพักที่ประชาชนไปแจ้งความ เราจะได้ยินคำว่าปรินเตอร์ซื้อเอง โน้ตบุ๊กซื้อเอง ขาดเก้าอี้ แล้วเราลองไปดู ตร. ครับ ที่ที่เหล่านายพลอยู่ หรูหรา เราเห็นเก้าอี้หลุยส์ แต่เวลาเราไปโรงพัก บางทีแอร์ก็เสีย คือเราต้องหาเงินทั้งๆ ที่มันเป็นองค์กรเดียวกันน่ะ องค์กรเดียวกันชัดๆ ทำไมชีวิตความเป็นอยู่มันต่างกัน”

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ กล่าวว่า ตำรวจมีหน้าที่ดูแลประชาชน ดังนั้น การเอางบตรงนี้มาลงให้กับหน่วยงาน ที่ต้องดูแลประชาชนโดยตรงก่อน เป็นเรื่องสมควร”

“พอไปใกล้เรื่องขาดแคลนงบประมาณ ไปใกล้เรื่องที่มันสุ่มเสี่ยงมาก งบประมาณไม่มี ก็เลยต้องหาจากพวกนี้ มันก็เลยเป็นเหตุผลที่มันพันกันไป ตำรวจจากมีหน้าที่ปราบปราม เราก็เลยเข้าไปเกี่ยวพันเสียเอง พอยิ่งตำรวจยศสูงพวกผลประโยชน์ก็สูงมากตาม”

ถึงตอนนี้ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ มองว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อ ลูกหลานเราจะลำบาก นี่เองทำให้ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ตัดสินใจทำงานกับกรรมาธิการ เพื่อต้องการผลักดันบางเรื่องให้เป็นจริง อย่างรายงานเรื่องการปฏิรูประบบราชการตำรวจ ที่ผ่านสภาเรียบร้อยแล้ว ด้วยความหวังจะทำให้ตำรวจดี “ถ้าตำรวจดี ประเทศชาติผมเชื่อว่ามันก็ดีด้วย”

“วันนี้เหมือนคำที่ในข่าวพูด ทุนเทาเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด พอเราไม่จัดการมันก็ส่งผลให้คนที่เติบโต คนที่ร่ำรวยขึ้นมาเป็นคนที่เลวร้าย บางคนได้เข้าไปเป็นคนบริหารประเทศ คุณจะปล่อยให้คนอย่างนี้เติบโตจริงเหรอ มันไม่ใช่แค่เติบโตในหน้าที่ตำรวจนะ แต่มาบริหารประเทศไทยด้วย”

พ.ต.ท.ธีรวัตร์ กล่าว่า ตำรวจที่ดีจริง ต้องดำเนินคดีกับคนกระทำผิดอย่างจริงจัง ลดเสียงบ่นว่า ‘นักการเมืองครอบงำตำรวจ’ เพราะไม่มีใครมีส่วนได้ส่วนเสียต่อกัน 

“ถ้าเราทำหน้าที่แบบตรงไปตรงมา เราจับ เราเอาจริง คนพวกนี้ไม่ได้เกิดหรอกครับ แม่งไปติดคุกกันหมดแล้ว พอเรามีคนที่ดีมาบริหารประเทศ ถามว่าบริหารประเทศก็ต้องคุมตำรวจ ตำรวจมันก็จะดี มันเหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน แต่ผมเชื่อว่ามันทำคู่กันไปได้”

แท็กที่เกี่ยวข้อง
ตติกานต์ Writerตติกานต์

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
“ตำรวจเปรียบเสมือนผ้าขี้ริ้ว” เมื่อคำปฏิญาณแก้ไขวิกฤตสีกากีไม่ได้ ต้องพิสูจน์ด้วยการ ‘ทำความสะอาด’ องค์กร