WSJ รายงานว่า Meta กำลังวางแผนลดค่าใช้จ่ายลงอย่างน้อย 10% แนวทางหนึ่งที่นำมาใช้คือการปลดพนักงาน แต่ยังให้พนักงานที่ได้รับผลกระทบ สามารถสมัครงานตำแหน่งอื่นในบริษัทได้ในระยะเวลา 30 วัน ซึ่งไม่การันตีว่าทุกคนจะสามารถหางานตำแหน่งใหม่ในบริษัทได้
ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Meta มีรายได้รวม 28,822 ล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลง 1% เทียบกับไตรมาสที่ 2/2021 และเป็นรายได้ที่ลดลงแบบเทียบปีก่อนหน้า (YoY) ครั้งแรก นับตั้งแต่บริษัทรายงานผลประกอบการมา กำไรก็ลดลงด้วยเป็น 6,687 ล้านดอลลาร์
ด้วยเหตุนี้ Meta จึงวางแผนการปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ นำโปรแกรม “30 Day List” มาใช้ เป็นการปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมากโดยไม่ประกาศต่อสาธารณะ และให้เวลาพนักงาน 30 วัน เพื่อหางานตำแหน่งใหม่ภายในบริษัท
แม้บริษัทไม่ได้เปิดเผยจำนวนพนักงานที่ถูกปลดออก แต่คาดว่าจะมีการปลดพนักงานเพิ่มอีกในภายหลัง ถือเป็นแนวทางช่วยการจ่ายค่าชดเชยจากการปลดพนักงาน
โดยปกติแล้วพนักงานที่มี performance ไม่ดี จะไม่สามารถหาตำแหน่งใหม่ในบริษัทได้ แต่จากแหล่งข่าวที่ระบุกับ WSJ บอกว่า ครั้งนี้ แม้แต่พนักงานที่มีผลงานดี ก็เสี่ยงที่จะหาตำแหน่งใหม่ไม่ได้เหมือนกัน
ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวออกมาต่อเนื่องว่า Mark Zuckerberg ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ต้องการปรับเปลี่ยนทรัพยากรบุคคล เพื่อจัดลำดับความสำคัญของธุรกิจท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงผู้บริหารของบริษัทก็เคยเปิดเผยว่า บริษัทจำเป็นต้องหยุดจ้างงาน
ทั้งนี้ Meta ได้เผยจำนวนพนักงานสิ้นไตรมาสที่ 2/2022 ที่ 83,553 คน ซึ่งเพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
ในขณะเดียวกัน Google ก็ใช้วิธีเดียวกันในการปรับโครงสร้างองค์กร โดยให้เวลาพนักงานที่ถูกปลดออก 60 วัน ในการหาตำแหน่งใหม่ภายในบริษัท
โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พนักงานของ Google กว่า 1,400 คนลงชื่อในคำร้องให้บริษัทขยายระยะเวลาเป็น 180 วัน สำหรับกลุ่มพนักงานที่มีมากกว่า 100 คนในแผนก Cloud Computing โดยอ้างถึงอุปสรรคในการโอนย้ายงานที่พนักงานจำนวนมากต้องเผชิญ
อย่างไรก็ตาม Google ยังมีศักยภาพที่สูง และสามารถแข่งขันได้ในตลาดเทคโนโลยี แม้ส่วนแบ่งการตลาดลดลงจากปีที่แล้ว
โฆษกของ Google กล่าวว่า พนักงานเกือบ 95% ที่ยังสนใจที่จะอยู่กับบริษัทสามารถหาตำแหน่งงานใหม่ภายในระยะเวลาดังกล่าวได้
ปัจจุบัน หลายๆ บริษัทตกอยู่ภายใต้ความกดดันทางธุรกิจ แม้แต่ Meta เจ้าของ Facebook ก็ยังต้องเผชิญกับรายได้ที่ไม่เข้าเป้า แล้วยังเกิดคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง TikTok ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย
ที่มา :










