ก่อนหน้านี้ MINISO ได้เปิดตัว ‘MINISO LAND’ สาขาแรกในประเทศไทย ในย่านสยามสแควร์ โดยคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดก็คือ ‘Disney’s Zootopia’ ถือเป็นครั้งแรกของสินค้า IP แบรนด์นี้ที่ออกสู่ตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีสินค้า IP แบรนด์ดังอื่นๆ เช่น Harry Potter, Sanrio, Disney’s Stitch รวมถึงสินค้า IP (Intellectual Property: IP) ที่สร้างขึ้นมาเองอย่าง ‘Dun Dun Chicken’ ในชุดมวยไทย
เกือบ 10 ปีของ MINISO ในตลาดไทย มีการปรับกลยุทธ์การตลาดตามพฤติกรรมผู้บริโภคตลอด ปัจจุบันร้านสินค้าไลฟ์สไตล์แห่งนี้มีสาขาทั้งหมด 16 แห่งในไทย ขณะที่ทั่วโลกมีสาขามากถึง 7,600 แห่งในกว่า 120 ประเทศ
กลยุทธ์ใหม่ของ MINISO ในยุคนี้ก็คือ การเป็นร้าน ‘Super IP + Super Store’ คือร้านที่มีสินค้าลิขสิทธิ์มากถึง 80 คาแรคเตอร์ และจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต (ตามสื่อจีนที่เรียก MINISO ว่าเป็น “เจ้าพ่อ IP” จากการเปิดตัว MINISO LAND ในเซี่ยงไฮ้ปีที่ผ่านมา)

[ เป้าใหญ่ยังเป็น 100 สาขาในไทย แต่ตอนนี้เน้นสินค้า IP ]
จุน หวัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มินิโซ ประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า MINISO แบบใหม่จะปรับโฉมการช้อปปิ้งของลูกค้า มีสินค้า IP ที่ดึงดูดผู้บริโภคมากขึ้น โดยย้ำว่า เป้าหมายที่ก่อนหน้านี้ MINISIO วางไว้ที่ 100 สาขาในไทย ยังคงเป็นเหมือนเดิม
“100 สาขาในไทยเป็นเป้าหมายระยะยาวไม่เปลี่ยน คิดว่าศักยภาพการขยายสาขาจำนวนดังกล่าวยังเป็นไปได้ แต่ในระยะสั้นเราจะเน้นที่ขยายสาขาในโซนธุรกิจก่อน รวมถึงการเพิ่มสินค้า IP ของเราเอง”

ขณะที่ ‘โรบิน หลิว’ รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ MINISO Global ได้กล่าวถึง การพัฒนาและสร้างสินค้า IP ของ MINISO ในอนาคต จากการร่วมมือกับศิลปินต่างๆ เพื่อพัฒนาสินค้า IP ของตัวเอง ซึ่งตอนนี้เซ็นสัญญากับศิลปินไปแล้ว 9 คน
“เรามีการทำวิจัยของแต่ละประเทศ ในการเลือก IP ผสมผสานวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ อย่างประเทศไทยที่เรานำ ‘มวยไทย’ เข้ามาผสมผสานกับ Dun Dun chicken ของเรา”
“ปี 2024 เราได้เปิด MINISO LAND ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน สำหรับเรามันเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ ทั้งยังสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า และแน่นอนว่ากระตุ้นยอดขายที่ดีให้กับสินค้าใน MINISO ทั้งสินค้า IP ลิขสิทธิ์แบรนด์ต่างๆ และสินค้า IP ของเรา”

ตัวอย่างสินค้า IP ที่ MINISO เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และมีชื่อเสียง ได้แก่ DunDun Chicken, PenPen Penguin และ Gift Bear and Friends เป็นต้น
นอกจากนี้ เขาได้เผยเกี่ยวกับยอดขายของ MINISO LAND ในจีนที่ผ่านมาว่า แตะ 100,000 ล้านหยวน โดย 83% ของยอดขายทั้งหมดมาจากสินค้าที่เป็น IP รูปแบบของร้าน MINISO Land ผสมระหว่างสินค้า IP (คิดเป็น 70–80% ของสินค้าในร้าน)
โดยเขามองว่า ความสำเร็จของ MINISO LAND ในเซี่ยงไฮ้ น่าจะเกิดขึ้นในต่างประเทศเช่นกัน แต่ยอดขายอาจจะเติบโตช้ากว่าจีนเล็กน้อย
[ อาร์ตทอยยังขายดีในไทย = กำลังซื้อคนไทยยังไม่น่ากังวล ]
ท่ามกลางความกังวลเรื่องกำลังซื้อภายในประเทศ แต่ จุน หวัง กลับมองว่า กำลังซื้อของคนไทยยังไม่น่ากังวล
“ตลาดไทยมีอิมแพ็คมากๆ ลาบู ลาบู อาร์ตทอยยังได้รับความนิยมมากๆ ที่ไทย ดังนั้นคิดว่าตลาดยังมีศักยภาพอยู่ ส่วนการทำธุรกิจของ MINISO ในไทยก็ยังราบรื่น ไม่รู้สึกว่าสะดุดกับอุปสรรคอะไรที่ใหญ่ชัดเจน”
เขาได้พูดถึง เรื่องการแข่งขันในตลาดรีเทลว่า เป็นเรื่องปกติของตลาดที่มีความต้องการสูง ธุรกิจสินค้าไลฟ์สไตล์ในไทยมีหลายแบรนด์ก็จริง แต่ MINISO คิดว่าการปรับกลยุทธ์เพิ่มสินค้า IP และสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าอยู่ในร้านนานขึ้น ยังเป็นบวกต่อธุรกิจต่อไป
พฤติกรรมผู้บริโภคในไทย หรือในอาเซียนมีความคล้ายกัน คือ คนยังให้ความสนใจกับสินค้าที่เน้น ‘คุณค่า’ ดังนั้น การที่ทีมวิจัยสินค้า IP ของ MINISO ไม่มีเพดานเรื่องงบประมาณในการคิดค้นสินค้าใหม่ๆ ถือว่าเป็นจุดยืนที่ชัดเจนว่า ตอนนี้ MINISO ให้ความสำคัญกับการสร้าง ‘own IP’

แต่ไม่ได้ตั้งเป้าว่าอยากจะเพิ่มสัดส่วนสินค้า IP ของตัวเองเท่าไหร่ ผสมผสานกับสินค้า IP คาแรกเตอร์ต่างๆ ในร้านอย่างไร
สำหรับ MINISO LAND ไม่ได้จำกัดแค่โมเดลใดโมเดลหนึ่ง แต่ในอนาคตอาจจะเห็นการต่อยอดประสบการณ์ในร้านที่ต่างออกไป เช่น คาเฟ่ โรงภาพยนตร์ ห้องเกม ฯลฯ แต่สิ่งเหล่านั้นต้องตอบโจทย์ประสบการณ์ของลูกค้าได้จริงๆ
ทางทีมผู้บริหารของ MINISO กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า การที่แบรนด์ผ่านตลาดค้าปลีกในจีนมาแล้ว ซึ่งมีการแข่งขันที่สูงกว่าไทยมากๆ ประสบการณ์ในตลาดจีนน่าจะทำให้ MINISO แข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ เพียงแต่เราต้องพัฒนาตัวเองด้วย รวมถึงเพิ่มโปรดักส์ให้มีจุดแข็ง ปรับเปลี่ยนตามรสนิยมของคนรุ่นใหม่










