องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ร่วมกันลงนามประกาศ 9 ข้อ ‘โรคฝีดาษลิง’

องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ร่วมกันลงนามประกาศ 9 ข้อ ‘โรคฝีดาษลิง’

COVID-19

องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ 5 องค์ร่วมลงนามประกาศแจง 9 ข้อ ‘โรคฝีดาษลิง’ ขณะที่เอเชียพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงรายแรกที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

วันที่ 26 พ.ค. 2565  ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์, ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์, สมาคมโรคติดเชื้อฯ, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กฯ และสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันฯ ร่วมกันลงนามในประกาศ คำชี้แจง เรื่อง โรคฝีดาษวานร หรือ ฝีดาษลิง ข้อความระบุว่า

สถานการณ์ตามที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อมวลชนเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่ามีการระบาดของโรคฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง) ในประเทศอังกฤษ แคนาดา สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศที่ไม่เคยเป็นแหล่งระบาดของโรคนี้มาก่อน ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะกลายเป็นโรคระบาดใหญ่ สร้างความเสียหายในหลายด้านคล้ายกับโควิด-19 นั้น

องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ขอให้ข้อมูลเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใจ ทราบวิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย และสามารถดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างปกติ ดังนี้

  1. โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในสัตว์ฟันแทะที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา แล้วแพร่ไปสู่สัตว์ชนิดอื่น ที่มีรายงานครั้งแรกคือการติดเชื้อในลิงที่เลี้ยงไว้เป็นสัตว์ทดลอง จึงเรียกว่า ผีดาษวานร หรือฝีดาษลิง สัตว์ตระกูลลิง ไม่ใช่แหล่งรังโรค และยังไม่มีรายงานการพบเชื้อนี้ในสัตว์ประเภทฟันแทะในประเทศไทย
  1. การติดเชื้อที่มีรายงานในอดีต มักเกิดในสัตว์เลี้ยง หรือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ฟันแทะ แต่การระบาดที่เกิดขึ้นขณะนี้ ยังไม่ทราบต้นตอที่แน่ชัด คาดว่าน่าจะมีความเชื่อมโยงกับสัตว์ป่าในทางใดทางหนึ่ง ยังต้องรอการสอบสวนโรคอีกระยะเวลาพอสมควรก่อนที่จะชี้ชัดได้ว่าการระบาดมีมาจากสาเหตุใด
  2. การแพร่เชื้อจากผู้ป่วย อาจจะเริ่มตั้งแต่มีอาการไข้ และจะแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้มากที่สุดในช่วงระยะเวลาที่มีตุ่มน้ำตามตัว ซึ่งต่างจากโควิด-19 ที่สามารถแพร่ได้แม้ผู้ติดเชื้อยังไม่มีอาการ ดังนั้น จึงสามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสโรคได้ง่ายกว่า
  1. การระบาดในประเทศต่าง ๆ ยังไม่กว้างขวางมากถึงจุดที่จะต้องห้ามการเดินทางเข้ามาของคนจากประเทศนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม หากพบนักเดินทางจากประเทศที่มีรายงานการพบโรค มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ แนะนำให้ไปรับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่มีผื่นและตุ่มน้ำใสตามแขนขาและใบหน้าหลังจากมีไข้แล้ว 2-3 วัน
  1. ถ้ามีการติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ตามร่างกายหากไม่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ อาจมีอาการรุนแรง องค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคนี้มีอัตราตายประมาณ 3.6%
  1. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับนักเดินทางที่มีอาการตามข้อ 4 และมาจากประเทศที่มีรายงานการระบาด
  1. การสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย และการล้างมือหลังการสัมผัสผู้ป่วย เป็นวิธีการที่ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้ดี
  1. หลีกเลี่ยงการนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือบริโภค เพราะอาจนำเชื้อก่อโรคชนิดใหม่ ๆ รวมทั้งฝีดาษวานรมาติดและแพร่ระบาดได้
  1. วัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ จะป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ด้วย แต่เนื่องจากประเทศไทยหยุดฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษมาแล้วเกือบ 50 ปี ดังนั้น ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี น่าจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้จากการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ แต่ผู้ที่อายุน้อยกว่าจะไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่มีโอกาสที่โรคนี้จะแพร่ระบาดมาถึงประเทศไทยได้น้อย จึงยังไม่มีความจำเป็นที่ประชาชนทั่วไปจะต้องเร่งรีบหาวัคซีนนี้
  • เอเซีย พบผู้ป่วย ‘ฝีดาษลิง’ รายแรก

รายงานข่าวแจ้งว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) พบผู้ติดเชื้อ ‘ฝีดาษลิง’ รายแรกแล้ว ถือเป็นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางชาติแรกที่พบ โดยผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงรายนี้ เดินทางเข้ายูเออี หลังจากเพิ่งเดินทางไปเยือนแอฟริกาตะวันตก ขณะนี้ผู้ป่วยกำลังได้รับการรักษาตัวอยู่ในยูเออี

ที่มา https://www.facebook.com/profile.php?id=100064916880808

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง