จากประเด็น Netflix กำลังเจอปัญหาผู้ใช้งานลดฮวบกว่า 2 แสนราย และคาดว่าจะลดอีก ล่าสุดมีรายงานจากเว็บไซต์ Variety ระบุว่า Netflix จะเลิกจ้างพนักงาน 150 ราย เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย
โดยจำนวน 150 รายนี้คิดเป็น 2% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในสหรัฐฯ
จากรายงานบอกด้วยว่า ในจำนวนนี้ มีกลุ่มพนักงานที่ทำหน้าที่ดูแล เว็บไซต์ Tudum แพลตฟอร์มดูแลฐานแฟนคลับของบริษัท จำนวน 26 ราย ก่อนหน้านี้มีการเลิกจ้างพนักงานการตลาดไปแล้ว ประมาณ 25 ตำแหน่ง
นอกจากการเลิกจ้างพนักงานฟูลไทม์ 150 คนแล้ว Netflix ยังเลิกจ้างงานพาร์ทไทม์ 70 ตำแหน่งในสตูดิโอแอนิเมชั่น
ซึ่งสิ่งที่ Variety รู้มายังมีอีกว่า Netflix ได้ยกเลิกโปรเจ็กต์แอนิเมชั่นหลายเรื่อง เช่น Wings of Fire จากผู้อำนวยการสร้าง Ava DuVernay, Antiracist Baby, With Kind Regards From Kindergarten
นอกจากเลิกจ้างพนักงานฟูลไทม์และพาร์ทไทม์บางส่วน Netflix ยังบอกด้วยว่า บริษัทคู่สัญญาบางส่วนก็จะได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้ด้วย แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเพิ่มเติมว่าเป็นบริษัทไหน และซัพพอร์ตงานส่วนไหนให้ Netfix
การลดจำนวนพนักงาน (โดยเฉพาะในสหรัฐฯที่ตลาดอิ่มตัว) เป็นหนึ่งใรนวิธีที่ Netflix จะงัดมาใช้เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาแน่ๆ คือ แพ็กเกจใหม่ รองรับโฆษณา เพื่อเป็นอีกช่องทางรายได้ และจะได้เลี่ยงการขึ้นราคา subscription ไปเรื่อยๆ
ต่อจากนั้นก็จะเป็นการจัดการสายหารพาสเวิร์ดนอกบ้านต่างๆ ซึ่ง Netflix หวังว่า ถ้านำคนกลุ่มนี้เข้าระบบเสียค่าใช้จ่ายตามกฎได้ จะเป็นรายได้เพิ่มขึ้นอีกมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่ฝั่งคู่แข่งเบอร์หนึ่งอย่าง Disney+ กลับทำตัวเลขได้ดี เพิ่มฐานผู้ใช้ได้เรื่อยๆ แม้จะยังไม่เปิดตัวเต็มที่ในหลายประเทศ (ไตรมาสล่าสุดเพิ่มยอดสมาชิกได้ 7.9 ล้านราย รวมเป็น 138 ล้านรายทั่วโลก)
ที่สำคัญดิสนีย์ ยังมีรายได้หลายช่องทาง นอกจากสตรีมมิ่งแล้ว ยังมีสวนสนุกที่กำลังจะกลับสู่ภาวะปกติ รายได้ค่าลิขสิทธิ์สินค้า ทำให้ดิสนีย์ไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ ต่างจาก Netflix ที่รายได้ส่วนใหญ่ มาจากบริการสตรีมมิ่งเท่านั้น










