ปัจจุบันตลาดความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในประเทศไทยมีมูลค่ารวมสูงถึง 260,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 9% ต่อปีและหากเจาะลึกเฉพาะตลาด “สกินแคร์” ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด จะมีมูลค่ากว่า 90,000 ล้านบาท พร้อมอัตราการเติบโตเฉลี่ยราว 6–8% ต่อปี ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าตลาดยังเปิดกว้างสำหรับผู้เล่นทั้งรายเล็กและรายใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป

อย่างเช่น กลุ่มลูกค้า Gen Z ไม่ได้ตัดสินใจซื้อจาก “ราคาถูก” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ ประสิทธิภาพ และภาพลักษณ์ของแบรนด์” มากขึ้น ทำให้แบรนด์ที่มีจุดยืนชัดและเข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคยังมีโอกาสเติบโตได้สูง

[ เทรนด์ผิว Glass Skin ผู้บริโภคอยากได้ผิวฉ่ำ แต่สินค้าตรงดีจริง ]

อย่างเคสของ Boots รีเทลด้านสุขภาพและความงามที่ต่อยอดความแข็งแกร่งของแบรนด์ No7 อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว “No7 Good Intent” ภายใต้ No.7 ซึ่งเป็น House Brand ระดับพรีเมียม โดยการเปิดตัวครั้งนี้มุ่งตอบโจทย์เทรนด์ “Glass Skin” หรือผิวใสฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี เทรนด์ความงามที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ทั่วเอเชีย

‘รัตติกาล เงาเงิน’ ผู้จัดการแบรนด์ No7 เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันลูกค้าไม่ได้มองว่า “ราคาถูก” หรือ “แพ็กเกจจิ้งสวย” เป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง แต่พวกเขาเป็น “ผู้ที่ฉลาดเลือก” โดยให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ โดยลูกค้าจะใช้เวลาในการดู ส่วนผสม ของผลิตภัณฑ์เพื่อให้มั่นใจว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพราะต้องการผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยอย่างชัดเจนและ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว

สำหรับเทรนด์ผิวที่มาแรงในตอนนี้คือ Glass Skin” หรือผิวใสฉ่ำวาว ดูสุขภาพดี ทำให้แบรนด์ออกสินค้าตัวใหม่ในชื่อ No7 Good Intent โดยเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกส่วนผสมและการพัฒนาสูตรให้ตอบโจทย์การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน 

โดยรอบนี้ไลน์สินค้าหลักๆ ก็จะมี Cleanse, Tone, Treat ไปจนถึง Moisturize ครอบคลุมตั้งแต่ Cleansing Balm สำหรับทำความสะอาดและล้างเครื่องสำอางอย่างอ่อนโยน, Toner Pad ที่ช่วยเตรียมผิวได้อย่างสะดวก ไปจนถึง Jelly Mask สำหรับการฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วน 

ในด้านกลยุทธ์การตลาด แบรนด์เลือกใช้แนวทางการสื่อสารที่ จริงใจและตรงไปตรงมา เน้นให้ข้อมูลกับผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความเข้าใจว่าแนวคิด Glass Skin หรือผิวโกลว์สุขภาพดีนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากการดูแลผิวอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง

ผลิตภัณฑ์จึงถูกพัฒนาขึ้นจากส่วนผสมหลักอย่าง Hyaluronic Acid, Niacinamide, Salicylic Acid และ CICA ซึ่งมีบทบาทในการช่วยฟื้นฟูผิว เสริมความแข็งแรง และดูแลปัญหาผิวในชีวิตประจำวัน โดยแบรนด์มองว่าแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว และเป็นพื้นฐานสำคัญในการเชื่อมโยงกับผู้บริโภครุ่นใหม่ 

[ Boost ยอดขายออนไลน์โต 12% เน้นควบคู่ทั้งขายออนไลน์และออฟไลน์ ]

สำหรับภาพรวมของ Boost ปัจจุบันเร่งขับเคลื่อน Omnichannel อย่างจริงจัง เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์ระหว่างร้านค้าออฟไลน์และช่องทางออนไลน์ทั้งในรูปแบบ Offline-to-Online และ Online-to-Offline ซึ่งเริ่มเห็นผลชัดจากการเติบโตของยอดขายออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

เพราะปีที่ผ่านมา ยอดขายออนไลน์ของ Boost คิดเป็น 9% ของยอดขายรวม และขยับขึ้นเป็น 12% ในปีนี้ ขณะที่อัตราการเติบโตของช่องทางออนไลน์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าสูงถึง 34% สะท้อนบทบาทของดิจิทัลที่กลายเป็นหนึ่งในกลไกหลักในการขยายธุรกิจควบคู่กับหน้าร้าน สำหรับหมวดสินค้าที่ทำผลงานขายดีบนช่องทางออนไลน์คือ Skin Care รวมถึงกลุ่ม Skin Medicated, Clinical Skin และ Sunscreen 

ในเชิงกลยุทธ์ Boost แบ่งการทำตลาดออนไลน์ออกเป็น 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ Marketplace เพื่อสร้างการมองเห็นของแบรนด์และเข้าถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ เหมาะกับสินค้ากลุ่ม Mass และการทำโปรโมชัน

และแอปพลิเคชัน Boost ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลฐานสมาชิกที่มีการใช้งานอยู่ราว 1.6 ล้านราย โดยช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินกลยุทธ์ CRM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและการกระตุ้นการซื้อซ้ำ

ด้านโปรโมชันราคา Boost ยังเน้นการตั้งราคาเดียวกันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อรักษาความสม่ำเสมอของแบรนด์ ขณะที่ Marketplace จะเข้ามาเสริมด้วยการใช้โค้ดส่วนลดหรือแคมเปญระยะสั้น เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในบางช่วงเวลา

นักเขียน : ฑิตฐิตา ภารจำนงค์