โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ตั้งเป้ารายได้รวมปี 2567 แตะ 14,000 ล้านบาท และยอดขาย (Pre-sale) ที่ระดับ 18,000 ล้านบาท เตรียมทุ่มงบซื้อที่ดินย่านพระราม 9 ประชาชื่น และบางนา-ตราด ขึ้นโครงการใหม่ ปูทางเป็น Top 5 ในวงการผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ปีนี้จ่อเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,710 ล้านบาท ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูงมีจำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,600 ล้านบาท ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล เตรียมเปิดตัวใหม่ตลอดทั้งปีนี้ ประกอบไปด้วย
- Noble Norse กรุงเทพกรีฑา : บ้านเดี่ยว ทำเลกรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 1,480 ล้านบาท เปิดตัว Q1/2024
- Nue Shade ราชพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ : บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท เปิดตัว Q2/2024
- Nue Center Westgate : บ้านเดี่ยวย่านเวสต์เกต มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท เปิดตัว Q3/2024
- Pattanakarn Condo : คอนโด High-Rise ย่านพัฒนาการ มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท เปิดตัว Q3/2024
- Nue Coast Khu Khot Station : คอนโด Low-Rise ใกล้รถไฟฟ้าคูคต มูลค่าโครงการ 1,470 ล้านบาท เปิดตัว Q3/2024
- Chaengwattana Lotus : คอนโด Low-Rise ใกล้ห้าง มูลค่าโครงการ 1,160 ล้านบาท เปิดตัว Q3/2024
- Rama9 – Din Daeng phase 1 : คอนโด High-Rise ย่านพระราม 9 มูลค่าโครงการ 5,500 ล้านบาท เปิดตัว Q3/2024

และอีกหนึ่งโครงการน่าจับตา เตรียมขาย Pre-sale ช่วง Q1/2024 คือโครงการ The Embassy Wirless คอนโดมิเนียม Freehold บนทำเลศักยภาพ ถนนวิทยุ มูลค่ากว่า 9,550 ล้านบาท ที่ร่วมกับทาง Hongkong Land ปัจจุบันมียอด Pre-sale จากต่างชาติแล้วกว่า 2,200 ล้านบาท ถือว่ากระแสตอบรับดีเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังมีโครงการสร้างเสร็จ (Inventory) ในมือ มีมูลค่ารวมกว่า 34,400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมที่จะสร้างเสร็จใหม่ในปี 2567 อีกจำนวน 4 โครงการ ปัจจุบันทั้ง 4 โครงการมียอดขายรวมเฉลี่ยแล้ว 70% ได้แก่
- โครงการนิว โนเบิล รัชดา–ลาดพร้าว
- โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ
- โครงการนิว คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง
- โครงการนิว คอร์ คูคต สเตชัน ซึ่งปัจจุบันทั้ง 4 โครงการมียอดขายรวมเฉลี่ยแล้ว 70%
สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถกวาดยอดขาย Pre-sale ได้กว่า 14,900 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จำนวน 6,600 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวน 8,300 ล้านบาท พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ ทั้งหมดนี้สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องและน่าพอใจ แม้จะมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากก็ตาม
อีกทั้ง บริษัทฯ ยังสร้างยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติได้ค่อนข้างเยอะด้วย โดยมีสัดส่วนยอดขายกว่า 5,700 ล้านบาท ถือว่าเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยโครงการที่ได้การตอบรับที่ดีจากชาวต่างชาติเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมระดับ Luxury บนทำเลถนนทองหล่อ ถนนสุขุมวิท และถนนวิทยุ เช่น โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการโนเบิล สเตท 39 และโครงการ ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส
ที่ผ่านมา โนเบิลได้มีขยายตลาดของลูกค้าต่างชาติไปในตลาดใหม่ๆ เช่น เมียนมา ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง ฯลฯ สำหรับปี 2567 นี้ บริษัทคาดการณ์ว่า กลุ่มลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้นหลังเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของบริษัทฯ กลับมามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2566 ในมือรวมมูลค่ากว่า 19,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเห็น Sentiment (ความเชื่อมั่น) ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดย Segment ที่ยังคงสร้างยอดขายที่ดีให้กับบริษัทฯ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบระดับ Luxury และคอนโดมิเนียมในเมือง
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนของไตรมาส 3/2566 จำนวน 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 51.2% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 มกราคม 2567 และจ่ายเงิน ปันผลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นี้
สำหรับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 โนเบิลเชื่อว่าน่าจะเป็นปีที่ดีขึ้น ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวกลับมา ประกอบกับการมีรัฐบาลใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการต่างๆ ได้เต็มปีในปีแรกก็น่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อีกทั้งดอกเบี้ยที่อยู่ในภาวะทรงตัวและมีแนวโน้มลดลงทำให้นักลงทุนกล้าจับจ่ายใช้สอยและกล้าลงทุนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันตลาดที่หายไปเป็นกลุ่มของนักลงทุน ขณะที่กลุ่ม Real Demand ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ดังนั้นหลังจากนี้ก็เชื่อว่ากลุ่มนักลงทุนจะกล้าลงทุนมากขึ้นและเพื่อรองรับตลาดอสังหาฯ ที่จะดีขึ้น
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดธุรกิจให้มีความครบวงจรเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยการเพิ่มไลน์ธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการดำเนินการภายใต้บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ในรูปแบบธุรกิจบริหารนิติบุคคล ธุรกิจบริการฝากขาย-ปล่อยเช่า รวมถึงธุรกิจการบริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
พร้อมทั้งมีธุรกิจต่อเนื่องที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income ) เช่น ธุรกิจการให้บริการสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) ในโครงการที่อยู่อาศัย ธุรกิจบริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) ธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell) บนหลังคาของโครงการที่อยู่อาศัย เป็นต้น อีกทั้ง ยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกับพันธมิตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญโดยตรง เช่น ธุรกิจบริการพื้นที่ เก็บของ (Self-Storage) คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม แผนการสยายปีกดังกล่าวเป็นการต่อยอดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯ ให้มีความครบวงจรควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในอนาคต










