ย้อนกลับไปช่วงสิ้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าว Bloomberg ตีข่าวว่า ‘Jensen Huang’ ซีอีโอของ Nvidia จะมาเยือนประเทศไทยและเตรียมประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในเดือนธ.ค. 2567
แน่นอนว่าการที่ได้ Nvidia บริษัทชิปยักษ์ใหญ่เข้ามาลงทุนถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีให้ประเทศไทย
วันนี้ (3 ธ.ค. 2567) ‘Jensen Huang’ ซีอีโอของ Nvidia มาเยือนไทยและพบกับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี เพื่อพูดคุยหารือเรื่องการลงทุนที่เคยบอกไปว่าสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ยังไม่มีประกาศชัดเจนว่าจะลงทุนอะไรบ้างและลงทุนเท่าไหร่
ปัจจุบัน Nvidia ได้ให้การสนับสนุน startup ไทยกว่า 50 ราย และมหาวิทยาลัย 40 แห่ง และแสดงความพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และการพัฒนาบุคลากร พร้อมลงนาม MOU กับกระทรวงดิจิทัลฯ
ถัดมาอีกวัน (4 ธ.ค.2567) ซีอีโอ Nvidia ได้ขึ้นเวทีสัมมนา ‘AI Vision for Thailand’ โดยมีนักลงทุนและเจ้าสัวรายใหญ่ๆ ทั่วฟ้าเมืองไทยเข้ามาฟัง เช่น ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ‘เจ้าสัวธนิท์ เจียรวนนท์’ และ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ และคนอื่นๆ อีกมากมาย
ในงานสัมมนา ‘Jensen Huang’ เล่าตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กที่เคยอยู่ในประเทศไทยมาก่อน และพูดถึงเรื่องของ AI ยกตัวอย่างให้ฟังว่า Nvidia เป็นบริษัทที่ใหญ่จริง แต่จำนวนพนักงานน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่ใช้หุ่นยนต์และ AI ทำงาน
พร้อมยังบอกอีกว่าอนาคตของ AI ที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญคล้ายๆ กับพลังงานและโทรคมนาคม เพราะ AI เป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนสามารถเริ่มเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้เลย แต่ถ้าไทยต้องการพัฒนา AI ก็ต้องทำให้ทุกคนเข้าถึง AIให้ได้ก่อน นำข้อมูลที่มีมาพัฒนา เช่น พัฒนาให้มี ChatThai GPT อย่างเต็มรูปแบบ ประเทศอื่นเขาก็เริ่มทำกันไปแล้ว
และยังแนะสั้นๆ อีกว่าเด็กรุ่นใหม่ให้ค้นหาความหมายของชีวิต หาผลงานที่ยั่งยืน เพื่อจะเป็นที่จดจำในโลกนี้ เช่นเขาที่ทุ่มสุดตัวไปกับการพัฒนาคอมพิวเตอร์และ AI จนเป็นที่จดจำในสายตาโลก..
อย่างไรก็ตาม Nvdia เคยบอกไว้ว่า เทรนด์ AI ในเอเชียเติบโตไวมาก ในอนาคตอาจได้เห็นการต่อยอดนำ AI พัฒนาไปใช้ในรถยนต์ไร้คนขับ หุ่นยนต์ เครื่องจักรอีกด้วย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้น Nvidia (NVDI) +204% มูลค่าบริษัทอยู่ที่ราวๆ 3.39 ล้านล้านบาท ขึ้นๆ ลงๆ เป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกแข่งกับ Microsoft และ Apple
ดังนั้นการมาของ Nvidia ในประเทศไทยจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศเติบโตจากบุคลากรที่จะได้พัฒนาศักยภาพด้าน AI มากขึ้น
