นอกจากสงครามการค้าทั่วไปแล้ว ‘สงครามชิป’ ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ชิปไม่ได้เป็นแค่สินค้าเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กลายเป็นสินค้าเชิงกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ ยิ่งฝั่งไหนสามารถคอนโทรลบริษัทชิปไว้ได้ ก็ยิ่งมีอำนาจในมือ
ตอนนี้บริษัทที่กำลังเผชิญสถานการณ์ต้องบาลานซ์พลังอำนาจอย่างหนัก คือ ‘Nvidia’ ที่‘เจนเซ่น หวง’ ซีอีโอบริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของโลก ต้องเดินเกมธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เสียทั้งตลาด และไม่ตกเป็นเหยื่อจากแรงบีบของสหรัฐอเมริกา และจีน
สถานการณ์ของ ซีอีโอ Nvidia จึงมีสภาพเป็นกึ่งๆ ‘นักการทูตเทคโนโลยี’ เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน เพื่อต่อรองและพยายามรักษาสนามแข่งขันให้ Nvidia ยังสามารถขายชิปบางรุ่นในจีนได้
[ ยกเลิกการแบนชิป AI ในจีน รายได้ของ Nvidia กลับมา 5 แสนล้าน หุ้นพุ่งแรง ]
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา Nvidia ประกาศว่าได้รับอนุญาตให้กลับมาขายชิป AI รุ่น H20 ในจีนอีกครั้ง หลังจากถูกสหรัฐฯ แบนในเดือนเมษายน แม้ H20 จะเป็นชิปรุ่นที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับข้อจำกัดการส่งออกก่อนหน้านี้ก็ตาม
การแบนชั่วคราวคาดว่าทำให้ Nvidia สูญเสียรายได้จากจีนไปราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 365,000 ล้านบาท) ขณะที่การปลดล็อกครั้งนี้คาดว่าจะเพิ่มรายได้ให้ Nvidia ถึง 10,000–15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 365,000–547,500 ล้านบาท) หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของรายได้ที่เคยคาดการณ์ไว้
และยังเพิ่มกำไรสุทธิได้ 6,000–9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 219,000–328,500 ล้านบาท)
วันถัดมาหลังประกาศยกเลิกการแบนในจีน มูลค่าตลาดของ Nvidia พุ่งขึ้นทันที 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.84 ล้านล้านบาท) รวมมูลค่าบริษัทเป็น 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 153.3 ล้านล้านบาท)
ด้าน ‘เจนเซ่น หวง’ ที่รับบททั้งซีอีโอ และนักการทูตเทค ผู้ถือหุ้น 3.5% ของบริษัท ได้กำไรจากมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 219,000 ล้านบาท) ไปด้วย
[ เจนเซ่น หวง กับทักษะทางการทูตที่เหนือชั้น แต่กำลังเล่นกับไฟสงครามการค้า ]
จากสงครามการค้าสหรัฐ และจีน เราได้เห็นทักษะทางการทูตที่เหนือชั้นของ Nvidia ซึ่งโพสต์บล็อกของบริษัทเต็มไปด้วยถ้อยคำที่เอาใจทั้งสองฝั่ง เราลองมาดูตัวอย่างการอวยทั้งสหรัฐ และจีนกัน
ฝั่งสหรัฐฯ Nvidia โพสต์ว่า “สนับสนุนความพยายามของรัฐบาลในการสร้างงาน, พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และดึงการผลิตกลับประเทศ เพื่อให้อเมริกานำหน้าในโลก AI”
ฝั่งจีน Nvidia โพสต์ว่า “การพูดคุยเน้นย้ำว่า นักวิจัยทั่วโลกสามารถร่วมกันสร้าง AI ที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ”
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามีจุดเสี่ยงอยู่หลายจุดจากการที่ ‘เจนเซ่น หวง’ เลือกใช้วิธี บาลานซ์เอาใจทั้งสองฝั่ง เพราะ Nvidia แม้จะไม่ได้มีซัพพลายเชนที่พึ่งจีนมาก (Nvidia ได้รายได้จากจีนเพียง 1:6 ของทั้งหมด อีกทั้งซัพพลายเออร์ 20 รายแรกของ Nvidia ไม่มีรายใดเป็นบริษัทจีน)
แต่จุดเสี่ยงมาจากสินค้าหลักของ Nvidia คือ “ชิป AI” ซึ่งอ่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์มาก ทำให้เราเห็นสภาพที่ผ่านมาว่า Nvidia เองก็เผชิญคำขู่จาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่ขู่ว่าจะเก็บภาษีชิปรอบใหม่อยู่เป็นระยะ
ดังนั้นถ้า Nvidia ถูกบังคับให้ถอนตัวจากจีน จะต้องเสียตลาดที่ยังเติบโต และเปิดทางให้ Huawei คู่แข่งตัวฉกาจของจีนยึดตลาดในประเทศได้เต็มที่
เพราะ Huawei เริ่มมีชิป AI ที่ประสิทธิภาพสูงออกมาแล้ว แม้ยังไม่ถึงขั้นรุ่นท็อปเท่ากับของ Nvidia แต่ถ้าครองตลาดจีนได้ ก็สามารถต่อยอดสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีแบบของตัวเอง แล้วส่งออกสู่โลกในฐานะคู่แข่งโดยตรงกับ Nvidia
สถานการณ์ของ ‘เจนเซ่น หวง’ ตอนนี้เขากำลังเล่นเกมที่ยาก เพราะสินค้าเขาคือ ชิป AI ซึ่งอ่อนไหวกับทางการเมือง เขาจึงต้องรักษาสมดุลระหว่างสองมหาอำนาจอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทิ้งเป้าหมายหลัก นั่นคือการสร้างนวัตกรรมและรักษาความเป็นผู้นำในตลาด AI ของโลกไปพร้อมๆ กัน
ที่มา
-
-
-
- https://www.economist.com/business/2025/07/17/move-over-tim-cook-jensen-huang-is-america-incs-new-china-envoy
-
-










