คืนฟ้ามืดสนิท อากาศเย็นสบาย แสงไฟฉายที่คาดหัวชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง วูบไหวตัดกับไอร้อน ที่ลอยขึ้นจากหม้อต้มหน่อไม้ พวกเขากำลังทำงานแข่งกับเวลาใน ‘โรงหน่อ’ ของหมู่บ้าน “เราจะรับซื้อหน่อจากชาวบ้านกิโลละ 6 บาท แล้วเราจะต้มหน่อให้สุก แล้วเอาไปส่งในเวียง กิโลกรัมละ 10 บาท” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความมืดและไอน้ำหนา
ตามปฏิทินเศรษฐกิจของ ชาวแม่ส้าน หน่อไม้จะเริ่มกลายเป็นรายได้หล่อเลี้ยงของชุมชน ในช่วงมิถุนายนจน ถึง กันยายน หลังส่วนหนึ่งกลายเป็นสำรับกับข้าว ค่ำคืนแห่งหน่อไม้ เกิดขึ้นในบ้านแม่ส้าน หมู่ 6 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนความสูง 950 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
เราเคยมาเยือนแม่ส้านครั้งแรกกลางปีที่แล้ว เป็นช่วงฤดูหน่อไม้ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในปลายเดือนมีนาคม ช่วงฤดูที่ชาวบ้านต้องเตรียมพื้นที่ทำไร่หมุนเวียน นี่เองทำให้คนนอกอย่างเรา ได้เห็นชีวิตของคนทำการเกษตรบนพื้นที่สูง หนึ่งในนั้นคือกระบวนการเผาจัดการเชื้อเพลิง เตรียมพื้นที่ไร่หมุนเวียน ที่ชาวบ้านยืนยันกับเราว่า “ไฟคือสิ่งจำเป็น”

และเมื่อมีไฟย่อมมีการเผา และมีควัน นี่เป็นวิถีชีวิตชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ ที่มองด้วยสายตาคนไกลย่อมคุกรุ่นในใจ ทว่า การทำการศึกษามูลค่าทางเศรษฐกิจ จากฐานทรัพยากรที่เกิดจากไร่หมุนเวียน และพืชพรรณอื่นๆ วิถีเช่นนี้ สร้างรายได้ให้คนทั้งชุมชนได้ราว 6 ล้านบาทต่อปี
ยิ่งกว่านั้น ความสามารถในการอยู่ร่วมกับป่า และความมั่นคงทางอาหารเหล่านี้เอง ทำให้มีเพียงไม่ถึง 7% ที่ย้ายลงไปทำงานในเมือง เพราะส่วนใหญ่ยังคงปักหลักในชุมชน
[ไร่หมุนเวียน ตู้กับข้าวของชุมชน]
จากประวัติศาสตร์ชุมชน บ้านแม่ส้าน เป็นชุมชนของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ อาศัยต่อเนื่องกันมาหลักร้อยปี การสำรวจในปี 2568 มีประชากร 449 คน ใน 127 หลังคาเรือน หาเลี้ยงชีพด้วยดำรงวิถีทำไร่หมุนเวียน โดยชุมชนร่วมดูแลทรัพยากรรวมทั้งสิ้น 18,102 ไร่
และด้วยความที่เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ในปี 2518 ชุมชนแห่งนี้ถูกประกาศให้เป็น เขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ต๋า-แม่มาย และในปี 2532 เตรียมประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท แต่ชุมชนคัดค้านไม่เห็นด้วย
“ไร่หมุนเวียนจะทำกันเป็นครอบครัว ส่วนใหญ่พ่อแม่ไปบ่อย ส่วนวัยรุ่นก็เป็นส่วนน้อย ที่จะทำแบบจริงๆ จังๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีอายุหน่อย จะเป็นแบบหัวหน้าครอบครัวที่จะทำไร่หมุนเวียน”
สมคิด ทิศตา ผู้ใหญ่บ้านแม่ส้าน ที่คนในชุมชนเรียก ‘พ่อหลวงสมคิด’ เริ่มต้นบอกเล่าวิถีไร่หมุนเวียน ซึ่งคนที่นี่ส่วนใหญ่ปลูกข้าวไว้กิน
ตามรายงาน “ไฟและมะแขว่นในวิถีไร่หมุนเวียน พื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษบ้านแม่ส้าน” ที่จัดทำโดยศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา ม.เชียงใหม่ ได้ระบุไว้ว่า ชุมชนแม่ส้านมีพันธุ์ข้าวไร่ 27 ชนิด มีพันธุ์ข้าวนา 16 ชนิด แต่ละปีจะปลูกพืชผัก 50 ชนิด อีกทั้งยังระบุอีกว่า ใน 1 ปี พืชแต่ละชนิดสร้างรายได้เฉลี่ยให้คนในแม่ส้าน แยกย่อยเป็น มะแขว่น 4,610,900 บาท หน่อไม้ 593,057 บาท กาแฟ 309,790 บาท ข้าวก่ำ 190,820 บาท และพืชอื่นๆ 130,890 บาท
แล้วมีบ้างไหมที่ผลผลิตชุมชนไม่ดี จนจำต้องหันหน้าพึ่งงานในเมือง? เป็นข้อสงสัยที่เกิดขึ้น เมื่อได้เห็นตัวรายได้รวมของคนทั้งชุมชน

พ่อหลวงสมคิด อธิบายว่า วิถีที่พึ่งพิงธรรมชาติ การมีไร่หมุนเวียนเปรียบเสมือนมีตู้กับข้าว และถ้าดูจากปฏิทินเศรษฐกิจบ้านแม่ส้าน จะพบว่า ตลอดทั้งปีคนที่นี่มีพืชพรรณสร้างรายได้อย่างไม่ขาดแคลน ทำให้วิกฤตเดียวที่คนแม่ส้านเคยเจอคงต้องย้อนไปช่วงโรคระบาดใหญ่
“มีแค่ช่วงโควิดอย่างเดียวที่เกิดขึ้น เพราะมะแขว่นขายไม่ได้เลยนะ แต่มันไม่ค่อยมีนะ ที่คนในชุมชนจะลงไปทำงานในเมือง”
พ่อหลวงขยายความอีกว่า เท่าที่นับดูตลอดหลายสิบปี มีคนลงไปทำงานในเมืองประมาณ 20-30 คน นับว่าน้อยถ้าเทียบกับทั้งชุมชน “เพราะในเมืองมันร้อน มันไม่มีความสุข มันไม่ใช่อย่างที่เขาเป็นอยู่ เขาชินกับสภาพแวดล้อมในชุมชนแบบนี้มากกว่า”
[ทำไมคนแม่ส้านไม่ไปทำงานในเมือง?]
ศุภสิทธิ์ เสนะ หรือ แม็ก หนึ่งในคนรุ่นใหม่ ที่ยังคงทำไร่หมุนเวียนตามวิถีบรรพชน คู่ไปกับการนำผลผลิตออกไปขายตามฤดูกาล เหมือนอีกหลายครอบครัวในบ้านแม่ส้าน
แม็ก เล่าว่า การใช้ชีวิตด้วยวิถีเช่นนี้ ทำให้เขาและเพื่อนๆ ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิดได้ อย่างที่เกิดขึ้นกับ ‘หน่อไม้’ เขาคำนวณคร่าวๆ ให้ดูว่า รวมทั้งครอบครัวปีหนึ่งๆ จะมีรายได้จากหน่อไม้ราว 80,000 บาท ยังไม่รวม ‘มะแขว่น’ ที่เป็นพืชที่มีรายได้มากที่สุด ที่สร้างราบได้กว่า 200,000 บาท ในช่วงผลผลิตดีๆ
“ถ้าคนรุ่นใหม่ไปทำงานในเมืองหมดเลย วิถีไร่หมุนเวียนก็อาจจะจางหายไป เลยตัดสินใจว่าเราทำไร่หมุนเวียนก็มีกินนะ ในไร่หมุนเวียนเรามีข้าว ถ้าเราดูแลต้นน้ำเรามีปลา เรายังมีนก เรายังมีหนู เราเลยต้องดูแล เพราะถึงแม้เราไม่ไปทำงานในเมืองเราก็ยังพอกิน”หนุ่มชาวแม่ส้านวัย 23 ปี เล่า
แม็ก เล่าต่ออีกว่า ชีวิตที่สัมพันธ์กับไร่หมุนเวียนต้อง ‘พึ่งพิงไฟ’ อย่างที่เกริ่นไปแต่ต้น ดังนั้น ทุกครั้งที่ ‘ห้าม’ หรือ ‘ขยับ’ ช่วงเวลาการจัดการเชื้อเพลิงออกไป ย่อมทำให้ติดขัด และล่วงเลยจากปฏิทินเดิมไปพอสมควร

[กว่าไฟกองแรกจะจุดติด เพิ่มความเสียง ‘ไฟมีมือมีขา’]
เล่าก่อนว่า บ้านแม่ส้าน เป็นหนึ่งในหลายชุมชนกะเหรี่ยง ที่ใช้ภูมิปัญญาการใช้ไฟกับไร่หมุนเวียนอย่างเป็นระบบ การจัดการไฟของพวกเขามีขั้นตอนชัดเจน โดยจะเริ่มทำแนวกันไฟในเดือนมีนาคม-เมษายน เพื่อกันไม่ให้ไฟลุกลามออกนอกพื้นที่เพาะปลูก
ในกรณีของบ้านแม่ส้าน การจัดทำแนวกันไฟ แบ่งหน้าที่กันในชุมชนอย่างชัดเจน ด้วยสัมพันธ์กับ ‘มะแขว่น’ พืชเศรษฐกิจสำคัญของชุมชน ที่การปลูกจำเป็นต้องควบคุมไฟอย่างเป็นระบบ
แก้ว ลาภมา อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่ส้าน เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ ในรายงาน ‘ไฟและมะแขว่นในวิถีไร่หมุนเวียน พื้นที่เขตวัฒนธรรมพิเศษบ้านแม่ส้าน’ ไว้ว่า “เราอยู่บนดอยก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเผาป่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราก็กลัวการเกิดไฟเช่นกัน เพราะเรื่องไฟเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับชาวบ้าน การปลูกมะแขว่นต้องมีการคุมไฟเป็นพิเศษ เพราะมะแขว่นเปรียบเสมือนชีวิต และปากท้องของคนที่นี่”
แต่หากมองไปมองไปยังนโยบายภาครัฐปีนี้ จังหวัดลำปางมีมาตรการเข้มงวด สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) ห้ามเผาป่าและพื้นที่โล่ง ตั้งแต่ 1 มกราคม – 15 พฤษภาคม 2568 ยกเว้นเฉพาะพื้นที่ที่มี “แผนการบริหารจัดการเชื้อเพลิง” ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการ และต้องมีเจ้าหน้าที่ควบคุมอย่างเคร่งครัด
ความเข้มงวดนี้ ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ในขณะนั้น ประกาศกร้าวดุดันว่า หากพบการเผา พบจุดความร้อน อาจพิจารณาย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด
แต่ด้วยการผลักดันของภาคประชาชนอย่างเข้มแข็ง ทำให้ไฟในส่วนของการจัดการเชื้อเพลิงในไร่หมุนเวียนแม่ส้าน แปลงแรกได้ลุกไหม้ในวันที่ 18 มีนาคม ซึ่งในวันนั้น จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ตำแหน่ง ณ ขณะนั้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์) ได้ร่วมขึ้นมาเป็นพยาน แม้จะไม่อยู่จนถึงช่วงที่ไฟลุกไหม้ แต่ก็เป็นที่รับรู้ว่าจะมีการจุดไฟเกิดขึ้น
“จริงๆ ปีนี้เราขออนุญาตตั้งแต่ 25 กุมภาพันธ์ ทางอำเภอไม่มีท่าที หรือตอบอะไรเลย นายอำเภอบอกว่าให้หยุดก่อน ห้ามมีการเผา เราก็รอๆ” พ่อหลวงสมคิด พาย้อนความทรงจำในเรื่องการขอใช้ไฟ
พ่อหลวงสมคิด เล่าต่ออีกว่า การเผาไร่และเก็บซากไม้ออกจากพื้นที่ ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เดือนกุมภาพันธ์เป็นเวลาทอง เพราะไฟ ผลผลิต เศรษฐกิจของชาวบ้านสัมพันธ์เชื่อมกัน มันมีเวลาแต่ละเดือนชัดเจน การขยับการเผาอาจส่งผลกระทบ
“มันจะกระทบ มันทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ อีกอย่างคือ เขาว่าเดือนเมษายน ไฟมีมือมีขา มันสามารถไปติดกับต้นไม้กิ่งไม้ได้ เขาจะไม่ค่อยเผาไร่กัน เขาเลยอยากเผาช่วงเดือนมีนาคม ส่วนใหญ่จะสิ้นสุดอยู่ที่เดือนมีนาคม ถ้ายึดตามปฏิทินนะ”
แม้ในวันที่ 18 มีนาคม ชาวแม่ส้านจะได้จุดไฟในไร่หมุนเวียนแปลงแรก ตามที่ตั้งใจ ทว่า ด้วยภาวะกดดันกลัวจะเจอความผิด ทำให้ชุมชนไม่กล้าเผาซากในแปลงต่อไป “ชาวบ้านในพื้นที่ก็ไม่มีความมั่นใจ ว่าการเผาจะเกิดผลกระทบกับชุมชนหรือไม่ ทำให้ต้องรอปรึกษากันอีก 5 วันถึงเริ่มเผากัน”

ปลัด ทส. มาเองยังกลัวอีหรอ? เป็นคำถามที่เราถามพ่อหลวง “ปลัดฯ มาแล้วก็ไป แต่คนที่อยู่จริงๆ คือนายอำเภอ เจ้าหน้าที่” ก่อนจะอธิบายเพิ่มว่า ความไม่ชัดเจนระหว่างอำนาจส่วนกลาง และท้องถิ่น ทำให้เกิดความกังวล
“ทางชุมชนขออนุญาตเข้าไปว่ามี 133 แปลง ในพื้นที่ 336 ไร่ ตอนแรกนายอำเภอก็จะอนุญาตให้เผา แต่พอรัฐมนตรีสั่งลงมาไม่ให้เผา ก็ไม่กล้าดิ้นเลย ไม่มีการอนุญาตจากนายอำเภอมาเลย”
[วิจัยชุมชน ช่วยกะเหรี่ยงหลุดพ้นข้อหา ‘จำเลยควัน’]
ป้ายงานศึกษาการระบายและการกักเก็กฝุ่น จากกระบวนการทำไร่หมุนเวียน ตั้งเด่นอยู่ในพื้นที่บ้านแม่ส้าน ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย กับ ‘ทีมวิจัยชุมชนแม่ส้าน’ ซึ่งก็เป็นคนในชุมชน งานศึกษาชิ้นนี้ ได้ทำการเก็บข้อมูลในช่วงกุมภาพันธ์ ถึง พฤษภาคม 2566 เป้าหมายก็เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่า การเผาไร่หมุนเวียนของกะเหรี่ยง ทำให้เกิด PM 2.5 กระทบคนในเมือง จนนำมาสู่ มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด (Zero Burning)

จตุพร เทียรมา จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ม.มหาสารคาม อธิบายว่า ในการทำไร่หมุนเวียน การเผาเป็นขั้นตอนจำเป็นเพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับปลูกพืชอาหาร โดยเฉพาะข้าว ซึ่งแน่นอนว่าปลดปล่อยฝุ่นออกมาจำนวนหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ทีมวิจัยได้ทดลองเก็บใบไม้หลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน มาวิเคราะห์ดูว่า มีฝุ่นสะสมอยู่มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับปริมาณฝุ่นที่เกิดจากการเผาในพื้นที่ 1 ไร่ ผลพบว่า ปริมาณฝุ่นที่ถูกปล่อยออกมาในระหว่างการเผา มีค่าใกล้เคียงกับปริมาณฝุ่นที่ถูกเก็บสะสมไว้บนใบไม้ ในพื้นที่ขนาดเท่ากัน
นั่นหมายถึง ฝุ่นที่เกิดจากไฟเผาไร่หมุนเวียน กับฝุ่นที่ถูกใบไม้ดักจับไว้ตามต้นไม้ใบไม้ มีปริมาณใกล้เคียงกัน
“สมดุลเชิงระบบ ระหว่างการระบายจากการเผา ในแง่ PM 2.5 และ PM 10 เมื่อเทียบกับพื้นที่ไร่ ที่ถูกทิ้งให้มีไม้ยืนต้นอยู่ มันสมดุลกัน”
อ.จตุพร อธิบายต่ออีกว่า ปริมาณฝุ่นที่ปลดปล่อยออกมาจากการเผาไร่หมุนเวียนของชาวบ้าน แท้จริงแล้วมีค่าใกล้เคียง หรือสัมพันธ์กับปริมาณฝุ่นที่ถูกเก็บสะสมไว้ในพื้นที่ ที่ชาวบ้านดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นป่าธรรมชาติ หรือไร่ซาก ด้วยเป้าหมายของการฟื้นฟูดิน โดยปล่อยให้พืชพรรณเติบโตขึ้นมา เพื่อช่วยสร้างโครงสร้างดิน เก็บกักความชื้น และทำให้ดินกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
และถ้าดูจากงานศึกษาชิ้นดังกล่าว ยังระบุอีกว่า ความสามารถในการดักจับฝุ่นด้วยพืชในพื้นที่ไร่หมุนเวียน 7 ปีขึ้นไป ในพื้นที่เก็บใบไม้ตัวอย่าง พบว่าสามารถดักจับฝุ่นได้สูงกว่า การระบายฝุ่นจากการเผาไร่ และใบไม้หลายชนิดซึ่งเป็นพืชท้องถิ่น มีศักยภาพในการดักจับฝุ่นได้สูง

นอกจากนี้ จากผลการศึกษาก่อนและหลังเผา ในบ้านแม่ส้าน พบว่า ฝุ่นที่นำไปตรวจวัด ไอออนบวกและลบในฝุ่น PM 2.5 เบื้องต้นพบมีแหล่งกำเนิดหลากหลาย ทั้งจากการเผาวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร การคมนาคม อุตสาหกรรม รวมถึงการเผาถ่านหินด้วย เป็นการตอบคำถามว่า ฝุ่นเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเผาไร่หมุนเวียนเพียงอย่างเดียว
ฉะนั้น การออกมาตรการห้ามเด็ดขาด ในพื้นที่การเกษตรอย่างไร่หมุนเวียน ราวกับเป็นต้นกำเนิดเดียว จึงไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ และไม่ธรรมกับชาวกะเหรี่ยง
[ทำความเข้าใจ ‘ไร่หมุนเวียน’ แบบเป็นระบบ]
ถ้าจะเข้าใจไร่หมุนเวียน อ.จตุพร ชี้ว่า ต้องเข้าใจเงื่อนไขของพื้นที่สูง ที่ดินเหล่านี้จำเป็นต้องมีการหมุนเวียนแปลงปลูก เพื่อรักษาเสถียรภาพของอาหารการกิน
โดยการปล่อยให้ดินได้ฟื้นฟูตัวเอง ทำให้โครงสร้างดินสมบูรณ์ และคงความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้พืชได้รับแร่ธาตุอาหารตามธรรมชาติ นี่คือ ภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมา อ.จตุพร อธิบาย
สิ่งเหล่านี้ ทำให้ระบบไร่หมุนเวียนต่างจากระบบเกษตรพื้นราบ หรือเกษตรเชิงเดี่ยว ที่ในหนึ่งแปลงจะปลูกพืชชนิดเดียว เน้นผลิตเพื่อขาย แล้วนำเงินที่ได้ไปซื้ออาหารหรือของใช้ภายหลัง ไร่หมุนเวียนมีลักษณะเป็นการผลิตเชิงซ้อน แม้พืชหลักจะเป็นข้าว แต่ในแปลงเดียวกันจะปลูกพืชอาหารตามฤดูกาลด้วย เช่น พริก ฟักทอง แตง ข้าวโพด ถั่ว มันเผือก หมายความว่า ระหว่างฤดูฝนที่ปลูกข้าว (และรอเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน)
ชาวบ้านก็จะมีอาหารกินจากไร่ตลอดฤดู ไม่ต้องรอขายข้าวเพื่อไปซื้อของกิน นี่คือความแตกต่างสำคัญ ระหว่าง ‘ระบบไร่หมุนเวียน’ ที่ผลิตอาหารหลากหลายเพื่อยังชีพ กับ ‘เกษตรเชิงเดี่ยว’ ที่ผลิตเพื่อขายเป็นหลัก

[ห้ามใช้ไฟ กับ ไร่หมุนเวียน เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่?]
อ.จตุพร มองว่า ชาวบ้านจะสูญเสียพื้นที่ทำกินที่สมบูรณ์ไป “เงื่อนไขของความเป็นพื้นที่สูง แม้ว่าเราจะตัดฟันแล้วก็ขนกิ่งไม้ออก เราก็ไม่สามารถกำจัดได้อยู่ดี เพราะว่ามันเป็นพื้นที่ลาดชัน หรือต่อให้บางพื้นที่อาจจะย้ายได้ แต่การเอาเครื่องจักรมาไถในพื้นที่สูง คือการทำลายโครงสร้างดินอย่างไร้ประสิทธิภาพ”
“พบว่าไร่เหล่าที่ชาวบ้านทิ้งเขาไว้ซึ่งเป้าหมายของการทิ้งเข้าไว้เนี่ยก็คือเพื่อให้เกิดการฟื้นฟูดินโดยอาศัยพืชพันธุ์ที่มันขึ้นมาแล้วก็มาสร้างโครงสร้างของดินให้สมบูรณ์ในการเก็บน้ำมาทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์”
อ.จตุพร ได้อ้างอิงการศึกษาการชะล้างพังทลายของดินและการไหลบ่าน้ำผิวดินในพื้นที่เกษตรกรรมระบบไร่หมุนเวียน บ้านแม่ส้าน อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ที่ทำการศึกษาเลือกพื้นที่มีความลาดชันใกล้เคียงกัน คืออยู่ระหว่าง ร้อยละ 35-40% ที่มีลักษณะการใช้ที่ดินที่ต้องการศึกษาต่างกัน ได้แก่
- พื้นที่ไร่ข้าวโพด ที่ทำต่อเนื่องหลายปีและเกษตรกรใช้วิธีเผาเตรียมดิน ก่อนการเพาะปลูก
- พื้นที่ไร่ข้าวปัจจุบันที่เกษตรกรได้ปล่อยให้เกิดการฟื้นตัวตามธรรมชาติเป็นเวลา 7 ปี แล้วทำการตัดฟัน เผาเตรียมพื้นที่ และทำการเพาะปลูกในช่วงที่ทำการเก็บตัวอย่าง
- พื้นที่ไร่เหล่า 3 ปี หรือไร่ที่เกษตรกรได้เคยทำการเพาะปลูกมาแล้ว และปล่อยให้ฟื้นตัวตามธรรมชาติมาแล้วเป็นเวลา 3 ปี
- พื้นที่ป่าตามธรรมชาติ ที่ไม่เคยถูกใช้ทำการเพาะปลูกมาก่อน
ในผลการศึกษาชิ้นนี้ พูดถึงการไหลบ่าของน้ำและการสูญเสียดินในพื้นที่เกษตรกรรมบนพื้นที่สูง โดยวิเคราะห์แยกย่อยในแต่ละประเภทพบว่า ปริมาณน้ำไหลบ่าในพื้นที่ศึกษา พบว่า ไร่ข้าวโพด มีปริมาณน้ำไหลบ่าสูงที่สุด อยู่ที่ 119.80 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่
ขณะที่ ไร่ข้าวหมุนเวียน (ไร่ข้าวปัจจุบัน) มีปริมาณน้ำไหลบ่าน้อยที่สุด เพียง 54.57 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่
เมื่อพิจารณาอัตราการซึมของน้ำลงดิน พบว่า ไร่ข้าวปัจจุบัน และ ไร่เหล่า 3 ปี มีอัตราการซึมใกล้เคียงกัน คือ 97.61% และ 97.28% ตามลำดับ รองลงมาคือ ป่าธรรมชาติ (96.38%) ส่วน ไร่ข้าวโพด มีอัตราการซึมน้ำต่ำที่สุด (94.75%) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ถูกใช้ซ้ำอย่างต่อเนื่องโดยไม่ปล่อยให้ดินฟื้นฟูตามธรรมชาติด้วยวิถีแบบไร่หมุนเวียน
การวิเคราะห์สมบัติดินพบว่า ไร่ข้าวโพด มีความหนาแน่นของดินสูงที่สุดและความพรุนต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับไร่หมุนเวียนและป่าธรรมชาติ ส่งผลให้ดินซึมน้ำได้น้อย เกิดน้ำไหลบ่าหน้าดินมาก
ในส่วนของ ไร่ข้าวปัจจุบัน ซึ่งปล่อยให้ดินฟื้นตัวตามธรรมชาติ 7-8 ปี ก่อนตัดฟันและเผาเพื่อปลูกข้าว พบว่ามีคุณสมบัติทางกายภาพของดินที่ดี ทำให้น้ำซึมลงดินได้ดีต่อเนื่อง ปริมาณน้ำไหลบ่าผิวน้อย อีกทั้งเศษซากวัสดุอินทรีย์ที่เพิ่งถูกเผา มีส่วนทำให้น้ำสามารถซึมลงดินได้ดีและต่อเนื่อง

อ.จตุพร ยืนยันอีกว่า ถ้าอยากจะเข้าใจไร่หมุนเวียนจำเป็นต้องมองว่าเป็น ‘ระบบ’ เป็นภูมิปัญญา หรือองค์ความรู้ที่สั่งสมกันมาของชุมชน ที่จำเป็นต้องสร้างบ้านเรือนหรือตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่สูง
“บรรพชนของชุมชนที่มีความจำเป็นต้องสร้างบ้าน หรือตั้งรกรากอยู่บนพื้นที่สูง การที่จะไปเปิดหน้าดิน แล้วก็ใช้ทำการเกษตรหรือทำมาหากินซ้ำๆ ในพื้นที่เดิมเป็นประจำทุกปี มันเป็นการทำลายโครงสร้างของดิน คือในเรื่องของความร่วนซุย”
เขาเน้นย้ำว่า โครงสร้างของดินที่มีเสถียรภาพ ทำให้เมื่อฝนตกลงมา หน้าดินจะไม่แตก หรือถูกพัดพาไปจนหมด นี่คือภูมิปัญญาที่ถูกพัฒนาขึ้นในระบบไร่หมุนเวียน
“องค์ความรู้เหล่านี้คงถูกพัฒนามา เพราะเห็นแล้วว่ามีความจำเป็นต้องหมุนเวียน เพื่อจะต้องรักษาโครงสร้างของดินเอาไว้ ภายใต้เงื่อนไขของพื้นที่ต่างหาก ให้มีแร่ธาตุอาหารมันเป็นการใช้ระบบธรรมชาติไปในตัว นี่คือภูมิปัญญา”
ในมุมของ อ.จตุพร มองว่า บรรพบุรุษจึงพัฒนาระบบไร่หมุนเวียนขึ้นมา เพื่อรักษาโครงสร้างดินและความอุดมสมบูรณ์เอาไว้ เพราะเงื่อนไขของภูมิประเทศเป็นตัวกำหนด ให้ต้องหมุนเวียนแปลงปลูก เพื่อให้ผืนดินยังคงให้ชีวิตต่อไปได้ นั่นจึงเป็นเหตุสำคัญว่า สุดท้ายถ้าไม่เผา หรือใช้ไฟในระบบไร่หมุนเวียน ชาวบ้านอาจต้องหันไปพึ่งสารเคมีกำจัดวัชพืช
ปัญหาที่ตามมา คือ เมื่อใช้ในพื้นที่สูง สารเคมีเหล่านี้จะถูกชะล้างไปกับน้ำฝน ไหลลงสู่พื้นที่ด้านล่าง สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนปลายน้ำในที่สุด
[ไร้แผนสอง หากปีหน้าห้ามเผาอีก]
“ไม่มีแผนสองแน่ๆ อาจจะทำในแปลงเดิมของปีที่แล้ว” พ่อหลวงสมคิด บอกว่า ส่วนใหญ่คนที่ทำไร่หมุนเวียน มีอายุประมาณ 40-50 ขึ้นไป ส่วนวัยรุ่นน้อยกว่ามาก มีบ้างที่ไปทำงานรับจ้างเป็นครั้งคราว
นั่นหมายความว่า ถ้าไร่หมุนเวียน ถูกเปลี่ยนวิถี หรือมีการออกนโยบายที่ห้าม หรือเข้มงวดการเผามากขึ้นกว่าเดิม ในมุมของเกษตรกรบนพื้นที่สูง มีความกังวลเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของดินจะหมดไป
“คิดว่าถ้าไม่ได้เผา แล้ววิถีไร่หมุนเวียนจบลง ชุมชนก็คงอยู่ไม่ได้เลยแหละ แต่คิดว่าคนคงไม่หันไปทำงานในเมือง แต่คงหันมาปลูกข้าวโพดมากว่า”
เช่นเดียวกับ แม็ก ที่มีความกังวล ในเรื่องการจ้างงาน ที่อาจเป็นปัญหากับผู้สูงอายุจำนวนมาก ในขณะที่คนหนุ่มแบบเขาอาจพอมีทางออก
“ถ้าอย่างคนรุ่นใหม่แบบผมอะได้ แต่ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่ที่เขาไม่มีแรงต้องไปงานแบกปูน แบกหาม วิถีชีวิตเขาให้ทำแบบนี้ เขาให้ทำไร่หมุนเวียนแล้วจะมีข้าวกิน เราจะมีกับข้าว เราจะมีหนูนาในไร่ได้กิน ให้ไปทำงานในเมืองพวกเขาก็ไม่มีประสบการณ์ พอไม่มีประสบการณ์ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ วิถีชีวิตเขาไม่ได้สอนมาให้ทำแบบนั้น”

[ชั่งน้ำหนักต้นทุน ที่รัฐอาจต้องจ่ายมากกว่าเดิม]
ในการลงพื้นที่พูดคุย เราย่ำเดินในพื้นที่ไร่หมุนเวียนครั้งแรก สังเกตว่าบนผืนดินที่เหยียบอยู่ มีซากของต้นไม้ที่ถูกเผาไฟ จากการจัดการเชื้อเพลิงในปีก่อนๆ บางจุดเห็นต้นไม้เป็นตอดำเด่นชัด ซึ่งชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ในสายตาคนเมืองเมื่อเห็นภาพไฟไหม้ในไร่หมุนเวียน อาจจะรู้สึกว่าคือการทำลายธรรมชาติ แต่ในมุมของคนอยู่กับป่า ดินเหล่านี้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก
“ผมคิดว่าการจัดการไร่หมุนเวียนโดยการใช้ไฟ มันดีที่สุด มันสวยงามที่สุด เพราะเวลาเราจัดการเชื้อเพลิง มันจะมีทั้งถ่าน สารอาหารอะไรตกลงไปในดิน มันจะทำให้ผลผลิตในไร่หมุนเวียนออกผลผลิตได้มากกว่า” แม็ก อธิบาย ความสัมพันธ์ระหว่างไฟที่เกี่ยวข้องกับการเกิดธาตุอาหารในดิน

พ่อหลวงสมคิด บอกเล่าประสบการณ์ในวงประชุมกับหน่วยงานรัฐ พอพี่น้องกะเหรี่ยงชวนแลกเปลี่ยนเรื่องการใช้ไฟในไร่หมุนเวียน มักตามมาด้วยเสียงด่าทอ
“เหมือนเขามองไร่หมุนเวียนเป็นปัญหาหลักเลย ที่ทำให้ pm 2.5 เกิด จริงๆ ถ้าเปิดใจหน่อย ฝุ่นควันมันก็มีจากหลายแหล่งจากโรงงาน ฝุ่นควันรถยนต์ แต่เขาโยนความผิดมาที่ไร่หมุนเวียน เพราะมันควบคุมง่ายสุด เขาก็เลยกดเราอย่างเดียว ถ้าให้เขาไปกดอุตสาหกรรม หรือไปกดการใช้รถ เขาไม่สามารถทำได้ กดได้อย่างเดียว กดง่ายที่สุดก็ชาวบ้านชาวเขานั่นละ”
สอดคล้องกับคำอธิบาย ของ อ.จตุพร ที่มองว่า ชุมชนกะเหรี่ยงที่อยู่บนพื้นที่สูงเกิน 4,000 กว่าชุมชน ต่างสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่สร้างภาระทางเศรษฐกิจให้กับรัฐ แล้วทำไมรัฐต้องสร้างภาระเพิ่มขึ้นให้ตัวเองในอนาคต ด้วยการออกมาตรการที่ไปบีบจำกัดระบบไร่หมุนเวียน จนชาวบ้านต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น
อ.จตุพร อธิบายต่ออีกว่า แน่นอนว่ารัฐอาจยื่นมือเข้ามาชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนอยู่ติดที่ ไม่ต้องอพยพลงไปในเมือง
แต่คำถามสำคัญคือจำเป็นจริงหรือไม่ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับระบบไร่หมุนเวียนแบบเดิม ที่ชาวบ้านจัดการกันเอง โดยไม่สร้างภาระต่อรัฐ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การเข้าไปเปลี่ยนแปลงระบบนี้ กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
ที่ผ่านมา มาตรการทั้งหมดที่รัฐออกมา เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องฝุ่น โดยเฉพาะการห้ามเผานั้น ล้วนแต่ต้องติดตามกันปีต่อปี

“คนกลุ่มนี้รัฐก็ไม่เคยต้องมาสนับสนุนต้นทุนในการผลิต หรือการชดเชยจากความเสียหาย ในเรื่องของฝนแล้งและน้ำท่วม คนกลุ่มนี้ (กะเหรี่ยง) ไม่เคยเป็นภาระของภาครัฐ เพราะผลผลิตเขาไม่เคยเสียหาย” อ.จตุพร กล่าว
“เหตุผลที่ผลผลิตเขาไม่เคยเสียหาย เพราะเขาสามารถเอาระบบนิเวศ จัดการฐานการผลิต ในแง่ของทรัพยากรดินในแง่ความอุดมสมบูรณ์ และกักเก็บความชื้นไว้ได้ หรือแม้แต่ในสภาวะโลกร้อน ที่มันเกิดการแปรปรวนของฝน ที่ตกและทิ้งช่วง ตกและทิ้งนานๆ”
เช่นนี้เอง น้อยครั้งถึงจะเห็นภาพข้าวที่ปลูกในไร่หมุนเวียน แล้งตาย หรือไม่ได้ผลผลิต เพราะโครงสร้างดินถูกพัฒนาให้อุ้มน้ำ
อ.จตุพร ชวนตั้งคำถามว่า ถ้าวันหนึ่งคนกลุ่มนี้ต้องหันหลังให้ระบบไร่หมุนเวียนที่ต้องใช้ไฟ และถ้าการสั่งห้ามเผาเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับวิถีชีวิตของพวกเขา
เรื่องราวของชุมชน ฐานทรัพยากร ไฟในไร่หมุนเวียน มาตรการคำสั่ง ที่ส่งผลต่อการจัดการเชื้อเพลิงของคนกะเหรี่ยงในแต่ละปี ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม
“ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไป ถ้าคนเหล่านี้ไม่สามารถอยู่บนพื้นที่นี้ได้ จะไปอยู่ตรงไหนในประเทศไทย เพราะทุกตารางนิ้วของประเทศไทยก็มีเจ้าของหมดแล้ว” อ.จตุพร กล่าวทิ้งท้าย










