คำแนะนำสำหรับคนไทยตอนนี้ ในภาวะเงินเฟ้อ ของแพงแซงรายได้ ดอกเบี้ยขยับขึ้น และเศรษฐกิจชะลอตัว ต้องไม่ลงทุนในความเสี่ยงใดที่ไม่มั่นใจ รัดเข็มขัด ประหยัดรายจ่าย ก่อหนี้ให้น้อยที่สุด วางแผนการออมเงินและใช้จ่ายอย่างรัดกุม เพิ่มช่องทางรายได้ สร้างอาชีพเสริม ถ้าสามารถเคลียร์หนี้สินได้เร็วเพื่อลดภาระดอกเบี้ยก็ให้รีบทำ
ส่วนในระดับประเทศ ประเทศไทยต้องลงทุนเปลี่ยนเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ สร้างบุญใหม่แทนบุญเก่าที่กำลังจะหมด
จุดเริ่มต้นของคาดการณ์เศรษฐกิจโลกว่าอาจมาถึงจุดสาหัส Perfect Storm มาจากนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศและไทย เริ่มห่วงว่าสถานการณ์หลายอย่างในโลกกำลังก่อตัวเป็นพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่ในรอบหลายปี
บางคนเปรียบเทียบว่าอาจใกล้เคียงวิกฤตเศรษฐกิจในทศวรรษ 1970 ของสหรัฐอเมริกาที่ตอนนั้นเกิดวิกฤตน้ำมันราคาพุ่งไป 4 เท่า เงินเฟ้อสูงปรี๊ด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แก้ปัญหาด้วยการขึ้นดอกเบี้ยสู้หนักหน่วงจนกระอักเลือดอออกปากกันถ้วนหน้า
Perfect Storm เป็นการเปรียบเปรยหมายถึงสถานการณ์ย่ำแย่ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คือ มาพร้อมทั้งลม น้ำ ความหนาวเย็น
1.โควิด-19 ที่เพิ่งซาแต่เศรษฐกิจหลายประเทศยังไม่ฟื้นนัก
2.ปัญหาราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติแพงขึ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ที่แพงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนกระทบไปทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในยุโรป จนการผลิตสินค้าหลายอย่างหยุดชะงัก รวมทั้งการผลิตก็มีต้นทุนสูงขึ้นจากปัญหาราคาพลังงาน
3.ปัญหาการจัดการนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิดในสหรัฐอเมริกาที่ว่ากันว่าคาดการณ์พลาดจนเกิดเป็น ‘เงินเฟ้อแรง’ สูงสุดในรอบ 40 ปี ส่งแรงกระเพื่อมตลาดทุนทั่วโลกจนต้องมาไล่แก้ขึ้นดอกเบี้ยกดดันให้ประเทศอื่นต้องขยับดอกเบี้ยขึ้นตาม
4.ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจภายในของจีน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งนโยบาย Zero Covid ของจีน ส่งผลให้กำลังซื้อขนาดใหญ่ทั่วโลก ธุรกิจการค้าต่างๆ หดตัวลงทั่วโลก กระทบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของหลายประเทศที่โดยมากมีดีลติดต่อค้าขายกับจีน
จากการประเมินและให้มุมมองโดยองค์กรระดับโลกที่คาดการณ์ว่ามรสุมเศรษฐกิจโลกลูกใหญ่กำลังก่อตัว อาทิ
- ไอเอ็มเอฟ เตือนว่า โลกกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่ท้าทายที่สุด นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
- ผู้นำจากทั้งอังค์ถัด องค์การการค้าโลก สถาบันการเงิน นักวิชาการชั้นนำของโลก ก็ออกมาเตือน มรสุมเศรษฐกิจกำลังก่อตัว Perfect Storm
- ธนาคารโลก ประเมินว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เป็น Stagflation เหมือนที่เคยเกิดในวิกฤตเศรษฐกิจยุค 70 พร้อมกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และประเมินว่าหลายประเทศมีแนวโน้มจะเผชิญสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- นักเศรษฐศาสตร์หลายคนวิเคราะห์ว่าวิกฤตยุค 70 จะกลับมาอีกครั้ง แต่บ้างก็บอกว่าอาจจะเกิดคล้ายๆ กันแต่ไม่หนักหนาเท่า
- องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาระหว่างประเทศ หรือ OECD ประเมินเงินเฟ้อจะสูงขึ้นต่อเนื่อง ประเทศและประชาชนที่ยากจนจะได้รับผลกระทบมากที่สุดโดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคมและความวุ่นวายทางการเมือง
สภาพตอนนี้จึงเหมือนวิกฤตซ้อนวิกฤต พายุโควิดเพิ่งซา พายุสงครามรัสเซียยูเครนก็เกิด แล้วต่อเนื่องมาด้วยพายุน้ำมันแพง ที่ส่งผลให้เกิดพายุของแพง พายุอาหารแพง และกระทบต่อผู้คนไปทั่ว
[ แล้วเศรษฐกิจไทยน่ากังวลแค่ไหน? ]
กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเรายังไม่ทันจะฟื้นตัวหลังโควิด-19 ดี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่งจะเริ่มกลับมาเปิดประเทศ อีกทั้งกลุ่มตลาดหลักจากจีนยังใช้นโยบาย Zero Covid อยู่ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของเรายังไม่ฟื้นตัวนัก
ส่วนการค้าขายพบว่ากำลังซื้อในหลายประเทศคู่ค้าชะลอลง ทำให้เราขายสินค้าได้น้อย
และที่กำลังเป็นผลกระทบหนักคือ ปัญหาราคาพลังงานที่สูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนสินค้าบริการแพงขึ้นจากราคาน้ำมัน ส่งผลให้เงินเฟ้อของไทยขยับขึ้นมาสูงขึ้นในรอบ 24 ปี คาดการณ์กันจะได้เห็นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แปลว่าสถานการณ์ของแพงกระทบรายได้และเงินในกระเป๋าเราก็จะกินยาวปีหน้า
การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินเฟ้อ ในสภาวะที่วิกฤตเศรษฐกิจบ้านเราก็ยังไม่ฟื้น ย่อมส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ มีผลต่อการลงทุน การค้า การขาย และการใช้ชีวิตของประชาชนแน่นอน
เพราะดอกเบี้ยที่ขึ้นก็เป็นต้นทุนและภาระเพิ่ม เช่น ถ้าเราเป็นผู้กู้ ไม่ว่าจะกู้ผ่อนบ้าน หรือเอสเอ็มอีทำธุรกิจกู้เงินมาลงทุนก็มีภาระจ่ายหนี้เพิ่ม
ส่วนผู้ให้กู้ก็ต้องกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้และต้องระวังการปล่อยกู้อีก ส่งผลให้อาจปล่อยกู้น้อยลงก็ทำให้ธุรกิจที่อยากจะกู้เงินมาขยายธุรกิจก็ชะงักลง ภาพรวมจึงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ขยายตัว
อย่างไรก็ตามหากไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็มีความกังวลว่าเงินเฟ้อจะขยับขึ้นไปสูงเรื่อยๆ และการมาแก้ช่วงนั้นก็จะเจ็บสาหัสกว่า
เมื่อการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินเฟ้อต้องแลกกับเศรษฐกิจที่จะขยายตัวช้าลง กระทบชีวิตความเป็นอยู่ ค่าครองชีพ คนว่างงาน คนรายได้น้อย ทำให้ประเมินกันว่า รัฐบาลต้องออกมาตรการ และนโยบายมาประคับประคองคู่ขนานไปด้วย
คาดกันว่าหากบ้านเรามีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ค่าแรงขั้นต่ำก็น่าจะต้องขยับขึ้นตามมา
อย่างไรก็ตาม ไม่นานมานี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ‘เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ประเมินล่าสุดว่า โอกาสที่ไทยจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหนักๆ ในประเทศน้อยมาก
และวันนี้โจทย์ใหญ่ตอนนี้คือทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยต้องให้น้ำหนักที่สุดคือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
แม้ผู้ว่าฯแบงก์ชาติจะออกมาให้มุมมองที่ไม่ได้น่ากลัวไปกับสถานการณ์ Perfect Storm ของเศรษฐกิจโลก แต่ความที่ตอนนี้ ‘เงินเฟ้อ’ สูงขึ้น ข้าวของแพงขึ้น ขณะที่ค่าแรงทุกอย่างยังเท่าเดิม เงินในกระเป๋าผู้คนมีค่าน้อยลงก็ส่งผลต่อความกังวลแน่นอน
[ ไทยจะรอดพ้นและเตรียมตัวระยะยาวอย่างไร? ]
เรามาฟังมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ที่ออกมาเตือนเรื่อง Perfect Storm กัน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาประเทศ การเงิน และตลาดทุน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มุมมองผ่านเวที สัมมนา New Chapter เศรษฐกิจไทย จัดโดยประชาชาติธุรกิจ มีประเด็นที่น่าสนใจให้เราได้เตรียมตัวว่า
โลกจะต้องรับมือกับความผันผวนอย่างน้อย 7 เรื่อง และน่าจะเกิดขึ้นกินยาวในระยะ 2-3 ปี ข้างหน้า
- วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศ กรณีรัสเซีย สหรัฐฯ
- วิกฤตราคาพลังงาน
- วิกฤตอาหารโลก จากสงครามรัสเซีย ยูเครน ที่ทำให้บางประเทศสั่งห้ามส่งออกวัตถุดิบอาหารบางประเภท เพื่อเก็บไว้บริโภคภายในประเทศ
- ความปั่นป่วนในตลาดการเงินโลก
- การถดถอยทางเศรษฐกิจ Recession ในสหรัฐ และในประเทศต่างๆ
- โอกาสการเกิดวิกฤตกับประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเริ่มเห็นบางประเทศ อาทิ ศรีลังกา เนปาล ปากีสถาน
- ปัญหาเศรษฐกิจจีน
ดร.กอบศักดิ์ ให้มุมมองว่า ความขัดแย้งสหรัฐ รัสเซีย ก็ไม่จบง่าย ส่งผลให้ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ก็อาจจะสูงแบบค้างเติ่งอย่างน้อยอีก 2 ปี แม้รัฐบาลไทยจะสนับสนุนราคาพลังงานก็ไม่ง่าย เมื่อราคาขึ้นและอาจจะค้างอยู่ระดับหนึ่ง จากปัญหา Conflict Global ระดับโลกที่ต้องการ Balance Power
ผลคือ ราคาอาหารก็จะขึ้นไปอีกระยะ ผลจากสงครามรัสเซีย ยูเครน เราจะเห็นว่ากระทบสินค้าเกษตรอื่นๆ และนำมาสู่ปัญหาเงินเฟ้อด้านต้นทุนจากราคาพลังงาน และส่งผลต่อราคาอาหาร
ขณะที่ เฟดบอกว่าจะขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนกว่าเงินเฟ้อจะลงมา ซึ่งกว่าจะจัดการเงินเฟ้อได้ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกก็ได้รับผลกระทบไปอีกระยะ และนั่นทำให้นักธุรกิจส่วนใหญ่ประเมินว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะถดถอย ส่วนนักเศรษฐศาสตร์ก็เริ่มมองทิศทางนี้มากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นในอีก 2-3 ปี ข้างหน้าจึงไม่ง่ายสำหรับประเทศไทย
ในภาพใหญ่ระดับมหภาค ได้ให้ข้อเสนอว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเร่งเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้เศรษฐกิจไทย สร้างบุญใหม่แทนบุญเก่าที่กำลังจะหมด
ปี 2565 นี้ เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยเรา คือ การส่งออก การบริโภคในประเทศ การกระตุ้นไทยเที่ยวไทย แต่ในปี 2566-2568 หรือ 2-3 ปี ข้างหน้า ไทยต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ หันมาเน้นเรื่อง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
เช่น รีบเดินหน้าเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพิ่มการดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ถือเป็นจังหวะดีที่เศรษฐกิจจีน ยุโรปกำลังกระทบ ทำให้คนสนใจอาเซียนมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของทั้งภูมิภาคนี้และประเทศไทยเองด้วย
เครื่องยนต์อีกตัวที่กำลังฟื้นและกำลังมา ก็คือดึงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าไทย ถ้าพลิกฟื้นส่วนนี้ได้ เชื่อว่าไทยจะมีโมเมนตั้มรับมือกับมรสุมเศรษฐกิจได้
สรุปว่าไทยต้องสร้างตัวเองเป็น Regional Hub หรือศูนย์กลางของบางอย่างทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ โดยมองว่าเราจะเป็นฮับ/ศูนย์กลางด้าน R&D ได้หรือไม่ หรือจุดเด่นของภูมิศาสตร์ที่ตั้งเรา ที่จะเป็นจุดแข็งได้คือ Logistics Hub ของภูมิภาค ซึ่งตำแหน่งของไทยนั้นใช่และเหมาะมาก หรือจะเลือกการเป็นฮับด้าน Startups ในภูมิภาคนี้ได้หรือไม่ เพื่อดึงเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาประเทศ
ทั้งหมดนี้สุดท้ายอยู่ที่ว่า เราจะ “ลงมือทำ” ได้หรือไม่ ถ้าวางรากฐานตรงนี้ได้ อนาคตประเทศไทยก็จะผ่านความผันผวนต่างๆ ของโลกได้
นั่นคือความเห็นในมุมมองเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศ ส่วนเราๆ การอยู่ในภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขยับขึ้น และเศรษฐกิจชะลอตัว ต้องไม่ลงทุนในความเสี่ยงใด รัดเข็มขัด ประหยัดรายจ่าย ก่อหนี้ให้น้อยที่สุด วางแผนการออมเงินและใช้จ่ายอย่างรัดกุม เพิ่มช่องทางรายได้ สร้างอาชีพเสริม ถ้าสามารถเคลียร์หนี้สินได้เร็วเพื่อลดภาระดอกเบี้ยก็ให้รีบทำ
อ้างอิง:
https://tna.mcot.net/business-958622
https://www.voathai.com/a/6608696.html
https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-07/stagflation-danger-sees-world-bank-cut-global-growth-outlook?srnd=economics-vp
https://www.cnbc.com/2022/05/23/imf-economy-faces-confluence-of-calamities-in-biggest-test-since-world-war-ii.html?__source=iosappshare%7Cjp.naver.line.Share










