สัตว์เลี้ยง กลายมาเป็นสมาชิกครอบครัวที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลวิจัยล่าสุด โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ในงาน “Pawssible Society: Pet Society Conference 2025” สะท้อนให้เห็นว่า คนยุคใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นทำให้มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงคาดว่าจะโตเกิน 101,000 ล้านบาทในปี 2569
คำนิยามของกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ที่ทุ่มเท ทั้งแรงกาย แรงใจ และเงิน สำหรับ CMMU เรียกว่า ‘Pet Humanization’ ซึ่งจะต่างจาก ‘Per Owners’ ปกติที่ใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงน้อยกว่า
[ เฉลี่ยค่าใช้จ่ายกับลูกรักสัตว์เลี้ยง มากกว่า 50,000 ต่อปี ]
Pet Humanization หรือกลุ่มที่มองสัตว์เลี้ยงเป็นลูกไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง มีความเชื่อว่า ลูกๆ ต้องได้รับการใส่ใจดูแลเทียบเท่ากับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ดังนั้น ผลสำรวจครั้งนี้จึงเห็นว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่คนกลุ่มนี้ใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงต่อปีต่อตัว มากถึง 50,500 บาท และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นด้วย
เทียบกับ Pet Owners ที่จะใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงน้อยกว่า อยู่ที่ 7,910 บาทต่อปีต่อตัว
อาจารย์ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวในงานสัมมนาว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมไทยที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก วิถีชีวิตคนเมืองที่นิยมอยู่คนเดียวมากขึ้น รวมถึงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้คนเมืองหันมานิยมเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น

นอกจากสัตว์เลี้ยงจะน่ารัก มอบความสุขทางใจ และเป็นเพื่อนคลายเหงาได้ ‘ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการเลี้ยงลูกจริงๆ’ อีกด้วย
ยังมีบริการเสริมอื่นๆ ที่กลุ่ม Pet Humanization มักจะใช้จ่ายกับสัตว์เลี้ยงากขึ้น ก็คือ
-
การตัดแต่งขน ใช้บริการมากที่สุดถึง 51.6%
-
โรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง ใช้บริการ 18.5%
-
บริการ Pet Friendly (เช่น ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, พื้นที่วิ่งเล่น ฯลฯ) อยู่ที่ 11.5%
อาจารย์ประเสริฐ วิเคราะห์ว่า พฤติกรรมเจ้าของสัตว์เลี้ยง ที่พร้อมทุ่มเทและทุ่มทุน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด นับเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ยปีละ 13.2% จาก 3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 เพิ่มขึ้นแตะ 9.2 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และคาดว่าจะทะลุ 1.01 แสนล้านบาทในปี 2569
สิ่งที่สะท้อนจากงานวิจัยนี้ ก็คือ หัวใจของตลาดสัตว์เลี้ยงในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่สินค้าหรือบริการที่ตอบสนองความต้องการดูแลขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ต้องตอบโจทย์ “Peace of Mind” ที่ทำให้เจ้าของมั่นใจว่าสัตว์เลี้ยงจะมีชีวิตที่ดีและอายุยืนยาว ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของผู้ประกอบการและนักการตลาดควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ

และเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่มากขึ้น CMMU ได้แนะนำด้วย “โมเดลการตลาดสัตว์เลี้ยง 5P – กรอบกลยุทธ์เชิงธุรกิจสัตว์เลี้ยง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม แรงจูงใจ และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักการตลาดเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้แม่นยำขึ้น
โดยการทำวิจัยครั้งนี้ มีกลุ่มตัวอย่าง 357 คน (Baby Boomers & Gen X = 102 คน Gen Y = 155 คน และ Gen Z = 100 คน) ในจำนวนนี้เป็นเจ้าของสุนัข 160 คน แมว 160 คน และสัตว์เลี้ยงพิเศษหรือ Exotic Pets อีก 37 คน
จากการเจาะอินไซต์พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและบริการของผู้เลี้ยงใน 4 หมวดหลัก ได้แก่ ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods), การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness), ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) และ เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) มีผลที่น่าสนใจ ดังนี้

1.ด้านอาหารสัตว์ (Pet Foods) พบว่า ผู้เลี้ยงตัดสินใจเลือกซื้ออาหารโดยให้ความสำคัญกับคุณภาพวัตถุดิบมากที่สุดถึง 56% ตามด้วยราคาที่เหมาะสม 45% ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ 41% และจากรีวิวและความสะดวกในการซื้อ 20%
โดยมีการใช้จ่ายเงินอาหารสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยสูงถึง 32,000 บาทต่อปี/ตัว แต่ก็มีกลุ่มที่ยอมจ่ายเงินมากกว่า 36,000 บาทต่อปี/ตัว สูงถึง 30% และยอมจ่ายมากกว่า 120,000 บาทต่อปี/ตัว ซึ่งจัดเป็นกลุ่ม Super Premium Segment ถึง 7.4% ขณะที่คน Gen Y ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวไม่มีลูก นิยมเลี้ยงสัตว์แทนลูก กลายเป็น Top Spender มากที่สุดในตลาดสัตว์เลี้ยง
2.การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Pet Health & Wellness) พบว่าผู้เลี้ยงนิยมพาสัตว์เลี้ยงไปรับบริการด้านสุขภาพที่คลินิกมากที่สุด 63.3% โรงพยาบาลเอกชน 57.1%
โดย 3 บริการยอดนิยม ก็คือ ฉีดวัคซีน 86.3%, ตรวจสุขภาพ 65.3% และ ทำหมัน 61 % ซึ่งค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 10,000 -30,000 บาทต่อปี/ตัว
3.ประกันภัยสัตว์เลี้ยง (Pet Insurance) พบว่าผู้เลี้ยงสัตว์ 71.4% รู้จักผลิตภัณฑ์ประกันภัยสัตว์เลี้ยง แต่มีแค่ 9% เท่านั้นที่ใช้บริการจริง โดยปัจจัยในการเลือกซื้อ ให้ความสำคัญกับความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดถึง 75.8% ค่าเบี้ยประกันที่สมเหตุสมผล 60.6% ความง่ายในการเคลมและความสะดวกในการใช้บริการ 57.6% และผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ถึง 71 % ต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันไม่เกิน 2,500 บาทต่อปี/ตัว
4. เทคโนโลยีสำหรับสัตว์เลี้ยง (Pet Tech) แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก แต่ได้มีการสำรวจภาพรวมการรับรู้ของผู้บริโภคต่อเทคโนโลยีสัตว์เลี้ยง 5 กลุ่ม พบว่า Smart home device เป็นที่รู้จักมากที่สุด 93% และมีโอกาสเติบโตสูงสุดในตลาด Pet Tech
ตามด้วย Service & Commerce Platforms 78%, Health and Nutrition 77%, Behavior & Emotion Tech 67% และ Genetic & Bio Tech 64%
โดย Baby Boomers และ Gen X 67% เปิดใจและอยากทดลองใช้มากที่สุด จุดประสงค์ก็คือ อยากรู้สึกใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยงแม้ไม่ได้อยู่ด้วย
อินไซต์เหล่านี้จะมีประโยชน์มากขึ้น หากนักการตลาด หรือธุรกิจตั้งเป้าเป็นแบรนด์ที่ต้องการสร้าง ‘Peace of Mind’ และเข้าไปนั่งในใจลูกค้าได้สำเร็จ โดยธุรกิจต้องยกระดับจากผู้ขายสินค้าไปสู่การเป็น ‘ผู้ดูแล’ ที่เข้าใจความต้องการเชิงลึก และตอบสนองความต้องการลูกค้าได้
ดังนั้น ยอดขายอาจไม่ใช่ปัจจัยเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ แต่เป็นการสร้างความวางใจ เชื่อใจ ระหว่างเจ้าของสัตว์เลี้ยงและแบรนด์ที่ให้ในสิ่งที่ต้องการได้ มองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว และให้คุณค่ามากพอๆ กับคนจริงๆ นั่นคงเป็นกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับคนกลุ่มนี้










