แพทย์จุฬาฯ ให้ข้อมูลเปรียบเทียบการฉีดวัคซีนกระตุ้นชนิดไฟเซอร์และโมเดอร์นา ปริมาณและรูปแบบการฉีด ให้ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างกันมาก
วันที่ 4 ก.พ. 2565 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 การให้วัคซีน mRNA ขนาดครึ่งโดส เต็มโดส และการเฉีดข้าใต้ผิวหนังว่า การใช้วัคซีน mRNA ในเข็มกระตุ้น มีการลดขนาดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว เช่น วัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) ที่ใช้ในประเทศทางตะวันตก กระตุ้นเพียงครึ่งเดียว (50 ไมโครกรัม)
วันนี้จึงอยากให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ ถึงแม้ว่ารายละเอียดยังมีอีกมาก ทางศูนย์ได้ทำการศึกษา การฉีดวัคซีน mRNA (Pfizer) เข้าใต้ผิวหนัง ขนาด 10 ไมโครกรัม และฉีดเข้ากล้ามเนื้อขนาด 15 ไมโครกรัม และ 30 ไมโครกรัม ตามหลังผู้ที่ได้รับวัคซีนเชื้อตายมาก่อน 2 เข็ม แสดงให้เห็นการให้วัคซีนในขนาดปกติ 30 ไมโครกรัม ตามหลังได้วัคซีนชุดต่างๆ 2 เข็มมาแล้ว
ส่วนวัคซีน Moderna ได้มีการศึกษาอย่างละเอียดถึงการกระตุ้นด้วยขนาดปกติ 100 ไมโครกรัม และขนาดครึ่งหนึ่งคือ 50 ไมโครกรัม จะเห็นว่าภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นไม่แตกต่างกันมากไม่ว่าจะเป็นการตรวจ วัดระดับภูมิต้านทาน การตรวจปฏิกิริยากับเชื้อไวรัสจริง ต่อสายพันธุ์เดลตาและสายพันธุ์โอไมครอน
ขณะนี้ศูนย์ฉีดวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข เช่นที่บางซื่อมีการบริการการฉีดวัคซีน ขนาดต่างๆ ของวัคซีน Pfizer เช่น 10 ไมโครกรัมเข้าผิวหนัง 15 ไมโครกรัมเข้ากล้ามเนื้อ และ 30 ไมโครกรัมเข้ากล้ามเนื้อ
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ระบุว่า การใช้วัคซีนขนาดน้อย เพื่อหวังว่าอาการข้างเคียงต่างๆ จะได้น้อยลงไปด้วย และภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น ขณะนี้มีการเปิดกว้างให้เลือก ว่าจะฉีดวัคซีนกระตุ้นขนาดเท่าใด ด้วยวิธีใด การตัดสินใจอยู่ด้วยความสมัครใจในการกระตุ้นด้วยวัคซีน
ที่มา https://www.facebook.com/yong.poovorawan











